“ดาวโจนส์” ปิดร่วง 260 จุด กังวลงบบจ. กลุ่มเทคฯ ต่ำคาด!
“ดัชนีดาวโจนส์” ปิดที่ 42,114.40 จุด ลดลง 260 จุด ขณะที่นักลงทุนรกังวลผลประกอบการจากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น อัลฟาเบท, แอปเปิ้ล และไมโครซอฟท์ รวมถึงข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ประจำเดือนต.ค.
ผู้สื่อข่าวรายงาน (26 ต.ค.67) ดัชนีดาวโจนส์และดัชนี S&P500 ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ (25 ต.ค.67) แต่ดัชนี Nasdaq ปิดบวก โดยได้แรงหนุนจากหุ้นขนาดใหญ่ ขณะที่นักลงทุนรอการเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสจากบริษัทรายใหญ่ที่สุดหลายแห่งในสัปดาห์หน้า
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,114.40 จุด ลดลง 259.96 จุด หรือ -0.61%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,808.12 จุด ลดลง 1.74 จุด หรือ -0.03% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 18,518.61 จุด เพิ่มขึ้น 103.12 จุด หรือ +0.56%
ในรอบสัปดาห์นี้ มีเพียงดัชนี Nasdaq เท่านั้นที่ปิดบวก โดยปรับตัวขึ้น 0.16% ขณะที่ดัชนี S&P500 ลดลง 0.96% และดัชนีดาวโจนส์ลดลง 2.68%
หุ้นกลุ่มต่าง ๆ ส่วนใหญ่ในดัชนี S&P500 ปิดลดลง นำโดยหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค
หุ้นเทสลา (Tesla) พุ่งขึ้นอีก 3.36% หลังทะยานขึ้น 22% ในวันพฤหัสบดีจากการเปิดเผยคาดการณ์ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า ขณะที่หุ้นอะเมซอน (Amazon), หุ้นแอปเปิ้ล (Apple) และหุ้นไมโครซอฟท์ (Microsoft) ปรับตัวขึ้นด้วย
“การปรับตัวขึ้นของหุ้นเทสลาช่วยให้เกิดความหวังในหมู่นักลงทุนว่า การพุ่งขึ้นของหุ้นกลุ่ม Magnificent Seven ยังไม่จบ” ไบรอัน จาคอบเซน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของแอนเน็กซ์ เวลธ์ เมเนจเมนต์ (Annex Wealth Management) กล่าว
จาคอบเซนหมายถึงกลุ่มหุ้นเทคโนโลยีที่อ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย ซึ่งพุ่งสูงขึ้นด้วยความตื่นเต้นในเรื่องปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยราคาหุ้นชิปยักษ์ใหญ่อย่าง อินวิเดีย (Nvidia) ปรับตัวขึ้นจนแซงหน้าแอปเปิ้ลขึ้นเป็นบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้น ขณะที่นักลงทุนรอการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้เกี่ยวกับทิศทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) โดยเมื่อต้นสัปดาห์นี้ อัตราผลตอบแทนขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในรอบ 3 เดือนที่ 4.26% ซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น
ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงโดยถูกกดดันจากหุ้นกลุ่มธนาคารที่ปรับตัวลง โดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) ร่วงลง 2.27% และหุ้นแมคโดนัลด์ (McDonald’s) ร่วงลง 2.97% ขณะที่บริษัทกำลังรับมือกับการระบาดของเชื้ออีโคไลที่เกี่ยวข้องกับแฮมเบอร์เกอร์ของร้าน
“หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้นก่อนหน้านี้ เมื่อโอกาสชนะของ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงดูเหมือนว่า นักลงทุนกำลังขายทำกำไรออกมาบางส่วน” ไมเคิล โรเซน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของแอนเจลีส อินเวสต์เมนต์ส (Angeles Investments) กล่าว
หุ้นนิวยอร์ก คอมมูนิตี้ แบงคอร์ป (New York Community Bancorp) ซึ่งเป็นธนาคารระดับภูมิภาค ร่วงลง 8.26% หลังรายงานผลขาดทุนติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 4 โดยมีสาเหตุหลักมาจากสินเชื่อด้านอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์
หุ้นคาปรี โฮลดิงส์ (Capri Holdings) ร่วงลง 48.89% หลังจากที่ผู้พิพากษาของสหรัฐฯ สั่งระงับการควบรวมกิจการระหว่าง Capri Holdings ซึ่งเป็นบริษัทแฟชั่นกับ แทปเพสทรี (Tapestry) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตกระเป๋า ขณะที่หุ้นของ Tapestry พุ่งขึ้น 13.54%
ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเลือกตั้งในสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนระมัดระวังในการซื้อขายด้วย
ราคาหุ้นถูกกดดันในสัปดาห์นี้จากการปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ขณะที่การคาดการณ์เกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดนั้นเริ่มไม่แน่นอน หลังจากที่แนวโน้มเศรษฐกิจแข็งแกร่งขึ้น
ข้อมูลจาก LSEG บ่งชี้ว่า บรรดานักลงทุนยังคงคาดการณ์ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมของเฟดในเดือนพ.ย. และคาดว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยประมาณ 2 ครั้งภายในสิ้นปีนี้
ส่วนในสัปดาห์หน้าซึ่งเป็นช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในวันที่ 5 พ.ย.67 เป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับตลาดหุ้นวอลล์สตรีท เนื่องจากจะมีการเปิดเผยผลประกอบการจากบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น อัลฟาเบท (Alphabet), แอปเปิ้ล (Apple) และไมโครซอฟท์ (Microsoft) รวมถึงจะมีการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ประจำเดือนต.ค.ด้วย