STECON โบรกแนะ “ซื้อ” เป้า 12 บาท รับงานประมูลรัฐพุ่ง ลุ้นแบ็กล็อกทะลุ 2 แสนล้าน
STECON เข้าเทรดวันนี้วันแรกแทน STEC โบรกมองปลายปีนี้-ต้นปีหน้า รับงานความคืบหน้า PPP ในกลุ่ม อย่างอู่ตะเภา และงานโยธาฯ ที่มีศักยภาพทั้งกลุ่มของรัฐ รวมถึงยังมีรถไฟฟ้าสายสีชมพู-เหลือง หนุนแบ็กล็อกทะลุ 1.5-2 แสนล้านบาท รองรับรายได้ที่มั่นคงไปราว 3-5 ปี ในระหว่างสร้างธุรกิจใหม่
บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุว่า บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON เข้าซื้อขายตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวันนี้แทน บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC เป็นสัญลักษณ์การเริ่มยุคใหม่แม้ระยะสั้นสัดส่วนของธุรกิจในภาพรวมยังเป็นธุรกิจเดิม แต่โครงสร้างภายในที่เปลี่ยนไป จะรองรับการเติบโตโนระยาวในธุรกิจอื่นๆ ในธีม “โครงสร้างพื้นฐาน” ที่รวดเร็ว-คล่องตัวขึ้น ประจวบเหมาะกับช่วงที่ไทยกำลังเข้าสู่ CAPEX Cycle รอบใหม่ นอกจากนี้ STECON ก็มีมูลค่าที่ซ่อนอยู่จากการลงทุนที่เปิด Upside มูลค่าไว้
โดยจากเดิมธุรกิจอื่นๆ อยู่ภายใต้ STEC ซึ่งมีโครงสร้างการจัดการแบบธุรกิจรับเหมา ทำให้การปรับตัวเข้าสู่ธุรกิจใหม่ๆ อาจจะไม่ได้คล่องตัวมาก แต่เมื่อเป็น STECON ซึ่งธุรกิจรับเหมาฯ จะเป็นส่วนหนึ่งของภาพรวม จะทำให้การบริหารงานและตัดสินใจในธุรกิจอื่นๆ ทำได้เป็นอิสระมากขึ้น ทิศทางที่ตลาดพอเห็นว่าอนาคตจะเน้นการลงทุน “โครงสร้างพื้นฐาน” ซึ่งสอดคล้องแนวทางการพัฒนาประเทศช่วงนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านโลจิสติกส์ (รถไฟฟ้า-สนามบิน) ด้านพลังงานสะอาด ด้านเทคโนโลยีใหม่ (Data Center ที่ร่วมทุนกับ Sitem และ MYTELEHAUS เตรียมปิดดีลลูกค้า) รวมถึงกำลังมองหาธุรกิจจัดการน้ำ
สำหรับการเก็งกำไรหุ้นระยะสั้นที่ผ่านมา เกี่ยวข้องกับแนวโน้มผลประกอบการน้อยมาก (ต้อง Surprise แบบมีนัยฯ) เมื่อเทียบกับข่าวประมูล ซึ่งทางฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่าปลายปีนี้-ต้นปีหน้า จะมี Highlights อยู่ 3 ส่วน คือ 1) ความคืบหน้า PPP ในกลุ่ม อย่างอู่ตะเภา (โครงการ 3 สนามบินฯ เริ่มขยับแล้ว),
2) งานโยธาฯ ที่มีศักยภาพทั้งกลุ่มของรัฐ (ถนน-ราง) และโอกาสในการรับงานต่อจาก PPP ของกลุ่มอื่น (ซึ่งเคยมีการทำงานร่วมกันอยู่แล้ว) และ 3) โรงไฟฟ้า Renewable จากพันธมิตร เช่น บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF หลังมีการประมูล PPA ชุดใหม่ไปภาพรวมคาดหนุนงานในมือ (Backlog) ไปอยู่ที่ระดับ 1.5-2 แสนล้านบาท (จากเดิมอยู่ที่ 9 หมื่นล้านบาท) รองรับรายได้ที่มั่นคงไปราว 3-5 ปี ในระหว่างสร้างธุรกิจใหม่
ทั้งนี้ ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” และราคาเป้าหมายปี 68 อยู่ที่ 12 บาท โดยอิงค่า PBV 1 เท่า เป็นกรณีที่อนุรักษ์นิยมมากแล้ว เพราะยังไม่ได้ Adjust มูลค่า GULF ที่ขึ้นมาราว 60% จากเดือน มิ.ย.67 ซึ่งเป็นมูลค่าที่ซ่อนอยู่ใน STECON ที่ถือหุ้น GULF จำนวน 220 ล้านหุ้น หากบนราคาปัจจุบัน จะแปลงเป็นมูลค่าหุ้น STECON เทียบเท่า 9.4 บาท/หุ้น ซึ่งควรจะเป็นฐานใหม่ของหุ้น (และมีโอกาสรับปันผลเพิ่มราว 20-30% หลังรวมกับ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH)
นอกจากนี้ ยังมีรถไฟฟ้าสายสีชมพู-เหลือง ที่จะกลับมาสร้างกระแสเงินสดระยะยาวไม่ว่าจะการใช้มาตรการภาครัฐตั๋ว 20 บาทตลอดสาย หรือจนไปถึงการเวนคืนสัมปทาน (คาดการณ์ว่าหากมีการเจรจาอย่างน้อยๆ ผู้ประกอบการน่าจะยืนเริ่มต้นที่ต้นทุนที่ลงไป) และยังไม่รวม Upside จากธุรกิจที่กำลังก่อตัว ได้แก่ Data Center อู่ตะเกาและการร่วมทุนโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และธุรกิจการจัดการน้ำ