“รศ.ดร.สมชาย” เทียบหาก “ทรัมป์” ชนะ “แฮร์ริส” การค้าโลกสะเทือนหนัก
เลือกตั้งสหรัฐฯ “สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์” มองหาก “ทรัมป์” ชนะ “แฮร์ริส” การค้าโลกสะเทือนหนัก เจอไล่บีบทีละประเทศ “ไทย” โดนด้วย
ศึกเลือกตั้ง “ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47” ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 5 พ.ย. นี้ นอกจากเป็นสมรภูมิช่วงชิงอำนาจ “ผู้นำ” ของประเทศมหาอำนาจ ระหว่าง กมลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครต กับ โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกันแล้วยังถูกจับจ้องจากทั่วโลกว่านี่เป็นเหตุการณ์สำคัญขั้นเปลี่ยนโฉม “เศรษฐกิจโลก” ก็ว่าได้
รศ.ดร.สมชาย ภคภาสน์วิวัฒน์ นักวิชาการอิสระ รัฐศาสตร์ระหว่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ กับ “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ว่า โอกาสระหว่าง “แฮร์ริส” กับ “ทรัมป์” จะเป็นผู้ชนะมีเท่า ๆ กัน 50 : 50 โดยสมมติฐานที่ว่า ถ้า ทรัมป์ เป็นผู้ชนะนั้น จะดำเนินการ 3 เรื่อง คือ 1. เก็บภาษีนำเข้าทั่วโลก 20% 2. เก็บภาษีสินค้าจากจีน 60% และ 3.จะมีการเล่นงานกับประเทศที่มีดุลบัญชีเดินสะพัด ซึ่งรวมไทยอยู่ด้วย ก็จะเป็นสงครามการค้า ขณะที่เศรษฐกิจจีน จะขยายตัวจาก 4-5% เหลือ 2 % ตรงนี้จะกระทบกับเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจของไทยแน่นอน เพราะเราพึ่งพาจีน ไม่ว่าจะเป็นการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นอันดับ 1 ประมาณ 20% และการส่งออก รองจากอาเซียน แต่ก็ใกล้เคียงกับทางอเมริกา การลงทุน จีนก็มาแรง เพราะฉะนั้นนี่เป็นส่วนหนึ่งที่กระทบ
ถ้าหาก แฮร์ริส ชนะการเลือกตั้ง ก็เชื่อว่า จะมีการกีดกันทางการค้าและเล่นงานจีนเช่นเดียวกัน เพราะในช่วงที่ โจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดีต่อจากทรัมป์ในสมัยที่แล้ว ยังรักษาการกีดกันทางค้าต่อเนื่องมาตลอด โดยรัฐบาลไบเดน ยังคงเก็บภาษีสินค้าจีน มูลค่าราว 370,000 ล้านดอลลาร์ โดย 250,000 ล้านดอลลาร์ เก็บ 25% และอีก 120,000 ล้านดอลลาร์ เก็บ 7.5%
“ถ้าแฮร์ริสมา การกีดกันทางการค้ายังอยู่แต่จะเบากว่า และจะเล่นงานจีนไม่ใช่ทุกเรื่องแบบของทรัมป์” รศ.ดร.สมชาย กล่าว
โดยแฮร์ริส จะเล่นงานจีนใน 3 เรื่องที่เป็นอันตราย คือ 1. สินค้าหรือการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับไฮเทค เช่น ควอนตัมคอมพิวเตอร์ (Quantum Computing), เอไอ (AI), เซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor) ระดับสูง 2. สินค้าหรือการลงทุน ส่วนที่ทำให้คนอเมริกันตกงาน เช่น รถอีวี (EV) และ 3. สินค้าที่สามารถปรับเป็นอาวุธที่ส่งให้กับรัสเซีย
ถ้า “ทรัมป์” กลับมา เงินเฟ้อสหรัฐฯ พุ่งพรวดแน่
นอกจากนี้ ทรัมป์ จะลดการเก็บภาษีเงินได้ นิติบุคคล จาก 21% เหลือ 15% รวมทั้งลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาด้วย และยกเว้นภาษีท้องถิ่น จะทำให้การขาดดุลงบประมาณของสหรัฐอเมริกา จะสูงขึ้นจากปัจจุบัน 6% เป็น 8% ในปี 2571 และจะทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มจาก 99% ต่อ GDP กลายเป็น 116% ใน ปี 2571 – 2573 ขณะที่ ถ้า แฮร์ริส ได้เป็นประธานาธิบดีของสหรัฐฯ จะทำให้หนี้สาธารณะ เพิ่มขึ้นจาก 99% เป็น 107-108%
จะเห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนนี้เมื่อขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีจะมีปัญหาเรื่องวินัยการเงินการคลัง คนจึงกลัวว่าถ้าทรัมป์กลับขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีอีกสมัย เศรษฐกิจอเมริกาจะเจอกับปัญหาเงินเฟ้อ เพราะว่าเก็บภาษีนำเข้าจากจีน ดอกเบี้ยจะตีสูงขึ้น เศรษฐกิจอาจจะชะลอตัวลง เพราะฉะนั้นก็จะเป็นปัญหาของเศรษฐกิจโลกด้วย
รศ.ดร.สมชาย ยังมองว่า หากทรัมป์เป็นผู้ชนะ จะใช้มติทวิภาคีเป็นหลัก คือจะไม่เจรจาต่อกลุ่ม จะใช้การบีบทีละประเทศ ๆ ซึ่งไทยเองก็อยู่ในประเทศที่มีความได้เปรียบดุลบัญชีเดินสะพัด แม้ในความจริงไม่มากแต่เขาก็จะบีบ
รวมทั้งการที่ไทยถูกมองว่าเป็นมิตรกับอเมริกาหรือไม่ อย่างไรก็ตามไทยพยายามปรับตัวว่าเป็นมิตรกับทั้งสองฝ่าย เช่น การเข้าไปเป็นสมาชิก Indo-Pacific Economic Framework: IPEF ซึ่งเป็นหนึ่งในแผนงานภายใต้ Indo-Pacific Strategy หรือยุทธศาสตร์ อินโด-แปซิฟิกของสหรัฐฯ ซึ่งประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ประกาศเป็นยุทธศาสตร์ทางการ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2565 แต่อีกด้าน ไทยไปสมัครเป็นสมาชิก กลุ่ม BRICS ทำให้ทางอเมริกา อาจจะมองได้ เพราะ BRICS ก็คือต่อต้านอเมริกา ซึ่งขึ้นอยู่ว่าเขาจะมีมุมมองว่า เราวางตัวเป็นกลางหรือไม่ หรือเอนเอียงไปทางด้านจีน
ขณะที่ แฮร์ริส ก็มองเรื่องความเป็นมิตรเช่นกัน เพราะตั้งแต่ประธานาธิบดีไบเดน มีการใช้นโยบายการลงทุนในประเทศที่เป็นมิตร อย่าง เวียดนาม, อินเดีย อเมริกามองว่าเป็นมิตร แต่ยังไม่ได้มองไทย ดังนั้นนโยบายของเราตกลงอยู่ข้างใครหรือเปล่า ก็อาจถูกกระทบระดับรุนแรงโดยเฉพาะถ้าทรัมป์ขึ้นมา