น้องใหม่ MPJ ลงเทรดวันนี้! โบรกชูเป้าสูง 9.50 บาท กำไร 3 ปีโตเฉลี่ย 18%
ไอพีโอน้องใหม่ MPJ เตรียมลงสนามเทรดวันนี้ โบรกชูราคาเป้าสูงสุด 9.50 บาท มองกำไร 3 ปี (67-69) เติบโตเฉลี่ยปีละ 18% รับแรงหนุนธุรกิจคลังสินค้า
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (6 พ.ย.67) หลักทรัพย์บริษัท บริษัท เอ็ม พี เจ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ MPJ เตรียมเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เป็นวันแรกในกลุ่มอุตสาหกรรม หมวดธุรกิจบริการ โดยมีราคาเสนอขายหุ้นไอพีโอที่ 6 บาท ราคาพาร์ 0.50 บาท มูลค่าระดมทุน 318 ล้านบาท มูลค่าตามราคาตลาด 1,200 ล้านบาท โดยมี บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน
สำหรับ MPJ และบริษัทย่อย เป็นผู้ให้บริการโลจิสติกส์ครบวงจร ทั้งการขนส่งในประเทศและระหว่างประเทศให้แก่ลูกค้า 2 กลุ่มหลักได้แก่ ผู้ประกอบการนำเข้าส่งออก และผู้ให้บริการสายเรือ
โดยแบ่งประเภทการให้บริการได้เป็น 4 ประเภทประกอบด้วย 1.บริการขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ทางบกต่อเนื่องกับท่าเรือ เส้นทางระหว่างท่าเรือแหลมฉบังและสถานีบรรจุและแยกสินค้ากล่อง ลาดกระบัง ด้วยรถหัวลากจำนวนทั้งหมด 221 คัน และหางพ่วงจำนวน 257 คัน 2.บริการบริหารลานจัดเก็บตู้คอนเทนเนอร์ บริหารการรับหรือปล่อยตู้ รวมทั้งซ่อมแซมและทำความสะอาดตู้คอนเทนเนอร์ โดยมีลานตั้งอยู่บริเวณใกล้ท่าเรือแหลมฉบัง
3.บริการจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ โดยการจองระวางเรือและระวางเครื่องบิน และ 4.บริการให้เช่าคลังสินค้า ที่สร้างตามวัตถุประสงค์การใช้งานของลูกค้า ปัจจุบัน มี 2 แห่งในพื้นที่แหลมฉบัง จังหวัดชลบุรี และพื้นที่อำเภอบ้านค่าย จังหวัดระยอง สำหรับครึ่งแรกปี 67 บริษัทมีรายได้จำแนกตามประเภท 4 บริการดังกล่าวในสัดส่วนร้อยละ 51 : 32 : 15 : 2 ตามลำดับ
ทั้งนี้ MPJ มีทุนชำระแล้วหลังเสนอขาย 100 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วยหุ้นสามัญเดิม 147 ล้านหุ้นและหุ้นสามัญเพิ่มทุน 53 ล้านหุ้น โดยเป็นการเสนอขายต่อบุคคลตามดุลยพินิจของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์จำนวน 49.426 ล้านหุ้น เสนอขายต่อผู้มีอุปการคุณของบริษัท 2.87 ล้านหุ้น และเสนอขายต่อกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงาน 0.704 ล้านหุ้น เมื่อวันที่ 28-30 ตุลาคม 2567 ในราคาหุ้นละ 6 บาท คิดเป็นมูลค่าการเสนอขาย IPO ที่ 318 ล้านบาท มูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 1,200 ล้านบาท
สำหรับการกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO พิจารณาอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings Ratio: P/E Ratio) เท่ากับ 13.65 เท่า ซึ่งคำนวณจากกำไรสุทธิ 12 เดือนย้อนหลัง (ตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2566 จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2567) หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วภายหลังการเสนอขายหุ้นในครั้งนี้ (fully diluted) จะได้กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.44 บาท โดยมีบริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และมีบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย
นายจีระศักดิ์ มานะตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MPJ เปิดเผยว่า ด้วยทำเลที่ตั้งอยู่ที่ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งถือเป็นทำเลยุทธศาสตร์ห่างจากท่าเรือแหลมฉบังประมาณ 11 กิโลเมตร บริษัทได้เติบโตตามกิจกรรมการนำเข้าและส่งออกผ่านท่าเรือแหลมฉบังอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลากว่า 16 ปี และได้รับความไว้วางใจจาก OOCL Logistics (Hong Kong) Limited ผู้ให้บริการสายเรือระดับโลก ในการบริหารจัดเก็บตู้คอนเทนเนอร์ของกลุ่ม OOCL เป็นหลัก สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน จะนำไปใช้ชำระเงินกู้ยืมสถาบันการเงินที่นำมาขยายธุรกิจคลังสินค้า จัดหาซื้อรถหัวลาก หางพ่วงทดแทน ปรับปรุงและจัดหาเครื่องมือเครื่องใช้ในลานตู้ ตลอดจนพัฒนาระบบการบริหารจัดการทรัพยากรองค์กร (ERP) และเป็นเงินทุนหมุนเวียน
MPJ มีผู้ถือหุ้นใหญ่หลัง IPO ได้แก่ กลุ่มนายจีระศักดิ์ มานะตระกูล ถือหุ้น 55.50% กลุ่มครอบครัวลิปตพัลลภ ถือหุ้น 11.50% และกลุ่มครอบครัววิริยะพานิชภักดี ถือหุ้น 6.50% บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิจากงบการเงินเฉพาะกิจการ ภายหลังจากหักภาษีและเงินทุนสำรองตามกฎหมาย
โดยล่าสุดนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า MPJ จะมีผลประกอบการจะเติบโตสูงอย่างต่อเนื่องจากปัจจัยสนับสนุน 1.การขยายธุรกิจลานกองตู้คอนเทนเนอร์แห่งที่ 3 ในกรุงเทพฯ ย่านลาดกระบังซึ่งเป็นศูนย์กลางการขนส่งตู้ตอนเทนเนอร์ทั่วประเทศ, 2.รับรู้รายได้คลังสินค้าในจังหวัดระยองเต็มปี และ 3.การเติบโตของธุรกิจตัวแทนขายค่าระวางเรือ โดยการเพิ่มพนักงานขายระวางเรือในเส้นทางใหม่ อาทิ ยุโรปและสหรัฐฯ ขยายตลาดจากเดิมที่เน้นเส้นทางในเอเชีย
สำหรับบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์คาดรายได้ปี 67 อยู่ที่ 980 ล้านบาท เติบโต 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนกำไรคาดการณ์อยู่ที่ 88 ล้านบาท เติบโต 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนในปี 68 คาดการณ์รายได้รวมอยู่ที่ 1,226 ล้านบาท เติบโต 25% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่กำไรสุทธิ อยู่ที่ 113 ล้านบาทเติบโต 29% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจาก 1.การขยายธุรกิจลานกองตู้คอนเทนเนอร์สู่กรุงเทพฯ 2.) รับรู้รายได้คลังสินค้าในจังหวัดระยองเต็มปี และ 3.) การเพิ่มพนักงานขายระวางเรือในเส้นทางใหม่ อาทิ ยุโรปและสหรัฐฯ ทำให้ประเมินราคาเหมาะสมปี 68 อยู่ที่ 9 บาทต่อหุ้น
ส่วน บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด คาดการณ์กำไรปกติปี 67-69 เป็นดังนี้ ในปี 67 คาดการณ์กำไรปกติเติบโตอยู่ที่ 89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนปี 68 เติบโตอยู่ที่ 124 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และปี 69 เติบโตอยู่ที่ 151 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งได้ปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มกิจกรรมขนส่งที่เติบโตและการขยายธุรกิจคลังสินค้าและลานตู้ทำให้ประเมินราคาเหมาะสมปี 68 อยู่ที่ 8.70 บาทต่อหุ้น
ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ประเมินกำไร 67-69 จะโตเฉลี่ย 18% CAGR และประเมินกำไรปี 67 อยู่ที่ 91 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากธุรกิจ Freight Forwarder ที่ฟื้นตัวจากฐานต่ำ รวมถึงธุรกิจคลังสินค้าที่ได้ผลบวกจากคลังสินค้าใหม่ ส่วนปี 68 ประเมินกำไรอยู่ที่ 121 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากทุกธุรกิจที่ดีขึ้นทำให้ประเมินราคาเหมาะสมปี 68 อยู่ที่ 8.50 บาทต่อหุ้น
นอกจากนี้ บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิปี 67-69 เติบโตเฉลี่ย 27% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี CAGR โดยคาดการณ์กำไรสุทธิปี 67 อยู่ที่ 88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี และปี 68 คาดผลการดำเนินงานจะเติบโตก้าวกระโดดอยู่ที่ 122 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี ส่วนปี 69 คาดผลการดำเนินงานจะเติบโต 162 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 68
โดยมีปัจจัยสนับสนุนมาจากธุรกิจคลังสินค้าที่เพิ่มขึ้นอีก 2 แห่ง และธุรกิจ Freight Forwarder ได้ขยายทีมขายและให้บริการเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะเส้นทางยุโรปและสหรัฐอเมริกา รวมถึงภาวะดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงจากการนำเงิน IPO ไปชำระหนี้บางส่วน ทำให้ประเมินราคาเหมาะสมปี 68 อยู่ที่ 8 บาทต่อหุ้น
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) คาดการณ์กำไรสุทธิ 67-69 เป็นดังนี้ ปี 67 คาดการณ์กำไรอยู่ที่ 76 ล้านบาท ปี 68 อยู่ที่ 89 ล้านบาท และปี 2569 อยู่ที่ 95 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโต เพิ่มขึ้น 11% CAGR เพราะคาดการณ์ในปี 67-69 จะมีการเติบโตยอดขายราว ดังนี้ ปี 67 มียอดขาย 935 ล้านบาท, ปี 68 อยู่ที่ 1,040 ล้านบาท, ปี 69 อยู่ที่ 1,098 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% CAGR จากรายได้การขนส่งทางบกหลังมีการปรับราคาขึ้นตามราคาน้ำมัน (Cost plus) ในปี 68 ตามหลังราคาดีเซล
ขณะที่ รายได้จากธุรกิจ Freight forwarder เติบโตขึ้นจากการขยายทีมและเพิ่มสายเดินเรือ Route ไกล (ยุโรป-อเมริกา), คลังสินค้าใหม่ 2 แห่งขนาด 12,463 และ 18,000 ตรม. ที่เริ่ม Operate ในไตรมาส 2 ปี 67 และไตรมาส 3 ปี 69 ตามลำดับ และอัตรากำไรขั้นต้นรวมจะขยับขึ้นมาเล็กน้อยจาก 21% ในปี 66 สู่ระดับ 22% ในปี 67-69
นอกจากนี้ MPJ มี Upside Risk จากลานตู้คอนเทนเนอร์ใหม่ซึ่งยังไม่รวมในประมาณการ คาดการณ์เริ่ม Operate ภายปี 68 คิดเป็น Upside 1.50 บาทต่อหุ้น ทำให้ประเมินราคาเหมาะสมปี 68 อยู่ที่ 8.00-9.50 บาทต่อหุ้น