IRPC รายได้ลด-พิษรายการพิเศษ กด Q3 ขาดทุน 4.88 พันล้านบาท
IRPC รายได้จากขายลดลง ผนวกกับเจอพิษรายการพิเศษ กดผลการดำเนินงานไตรมาส 3/67 พลิกขาดทุนสุทธิ 4.88 พันล้านบาท จากปีก่อนกำไรสุทธิ 2.43 พันล้านบาท ส่งผลให้งวด 9 เดือนแรกปี 67 ขาดทุนสุทธิ 4.07 พันล้านบาท
บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) หรือ IRPC รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนแรกสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 พลิกกำไรสุทธิ ดังนี้
บริษัทฯ รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 เปรียบเทียบกับไตรมาส 3/2566 มีรายใต้จากการยายสุทธิ ลดลง 7,300 ล้านบาท หรือร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักจากราคาขายเฉลี่ยลดลงร้อยละ 11
ขณะที่ปริมาณขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 สำหรับธุรกิจปิโตรเลียมมี Market GRM ที่ลดลง โดยหลักลดลงจากกลุ่มน้ำมันเชื้อเพลิง ตามการลดลงอย่างมีนัยสำคัญของส่วนต่างราคาผลิดภัณฑ์น้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซินเทียบกับราคาน้ำมันดิบดูไบ สำหรับธรกิจปีโตรเคมี มี มี Market PTF ที่เพิ่มขึ้น จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์กับวัตถุดิบปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ PP และส่วนต่างราคาในกลุ่มสไตรีนิกส์ ในขณะที่ กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคมีกำไรขั้นต้นคงที่ ส่งผลให้บริษัทฯ มี Market GIM ลดลงร้อยละ 32
อย่างไรก็ตาม ไตรมาสนี้ บริษัทฯ บันทึก Net Inventory Loss 5,000 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 8,566 ล้านบาท จากไตรมาส 3/25666 ทำให้บริษัทฯ บันทึกขาดทุน Accounting GIM อยู่ที่ 1,350 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 115 เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2566 ส่งผลให้ไตรมาสนี้ มีผลขาดทุน EBITDA จำนวน 4,843 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 182 จากงวดเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ บริษัทฯ บันทึกค่าเสื่อมราคา 2,327 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากสินทรัพย์ที่เพิ่มจากโครงการ Ultra Clean Fuel (UCF) ประกอบกับมีต้นทุนทางการเงินสุทธิ จำนวน 687 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28 จากไตรมาส 3/2566 ขณะที่ไตรมาส 3/2567 บริษัทฯ บันทึกทึกกำไรจากตราสารอนุพันธ์จำนวน 763 ล้านบาท กำไรจากอัตราแลกแลกเปลี่ยนจากเงินกู้ยืม 182 ลำนบาท และกำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการบริหารความเสี่ยงน้ำมัน 575 ล้านบาท จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ไตรมาส 3/2567 มีผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 4,880 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 7,319 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2566 ที่มีกำไรสุทธิ 2,439 ล้านบาท
สำหรับงวด 9 เดือนแรกปี 2567 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายสุทธิ จำนวน 218,674 ล้านบาท ลดลง 2% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณขายลดลง 5% ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 3% สำหรับธุรกิจปิโตรเลียมมี Market GRM ที่ลดลงโดยหลักมาจากกลุ่มน้ำมันเชื้อเพลิง โดยเฉพาะการลดลงของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซินเทียบกับราคาน้ำมันดิบดูไบ
ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมี มี Market PTF เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ กลุ่มธุรกิจสาธารณูปโภคมีกำไรขั้นต้นคงที่ ส่งผลให้บริษัทฯ บันทึก Market GIM อยู่ที่ 12,733 ล้านบาท หรือ 6.68 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลลดลง 23% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตามงวด 9 เดือนปี 2567 บริษัทฯ บันทึกขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน 1,228 ล้านบาท หรือ 0.64 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล และบันทึก NRV 382 ล้านบาท หรือ 0.20 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ขณะที่บันทึกกำไรจาก Realized Oil Hedging 298 ล้านบาท หรือ 0.16 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จากรายการดังกล่าว ส่งผลให้มี Net Inventory Loss รวม 1,312 ล้านบาท หรือ 0.68 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จึงส่งผลให้งวด 9 เดือนปี 2567 มี Accounting GIM จำนวน 11,421 ล้านบาท หรือ 6.00 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล ลดลง 35% จากงวดเดียวกันของปีก่อน หลังจากหักรายการค่าใช้จ่ายดำเนินงานแล้วบริษัทฯ มี EBITDA จำนวน 1,275 ล้านบาท ลดลง 84% จำกงวดเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ บริษัทฯ บันทึกค่าเสื่อมราคา 6,711 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ประกอบกับมีต้นทุนทางการเงินสุทธิจำนวน 1,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% จากงวดเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตามในงวด 9 เดือน ปี 2567 จากสถานการณ์ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ บันทึกกำไรจากการทำสัญญาอนุพันธ์ทางการเงิน 401 ล้านบาท และกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนจากเงินกู้ยืมจำนวน 27 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทฯ มีกำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงจากการบริหารควรามเสี่ยงน้ำมัน 694 ล้านบาท เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวลดลง และมีกำไรจากการลงทุนจำนวน 766 ล้านบาท โดยหลักเพิ่มขึ้นจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัท ดับบลิวเอชเอ อินดัสเตรียล เอสเตท ระยอง จำกัด (WHAIER) ที่เริ่มรับรู้รายได้จากการจำหน่ายที่ดินในไตรมาส 2/2567 จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ในงวด 9 เดือนปี 2567 บริษัทฯ บันทึกผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 4,068 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่บันทึกกำไรสุทธิ 494 ล้านบาท