“ดาวโจนส์” พุ่ง 1,300 จุด ขานรับ “ทรัมป์” คว้าชัยเลือกตั้ง หวังดันเศรษฐกิจโตแกร่ง
“ดาวโจนส์” พุ่งเกือบ 1,300 จุด ขานรับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐของ “โดนัลด์ ทรัมป์” คาดหวังนโยบายจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจให้แข็งแกร่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์พุ่งขึ้นเกือบ 1,300 จุด ทะลุแนว 43,000 จุด ขานรับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีสหรัฐ และผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน
โดย ณ เวลา 21.40 น.ตามเวลาไทย ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์อยู่ที่ 43,516.25 จุด บวก 1,294.37 จุด หรือ 3.07%
นักลงทุนคาดการณ์ว่า ชัยชนะของนายทรัมป์ รวมทั้งแนวโน้มที่พรรครีพับลิกันจะกวาดเสียงข้างมากในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ จะทำให้มาตรการต่าง ๆ ตามนโยบาย “Make America Great Again!” ของนายทรัมป์ถูกขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะนโยบายปรับลดอัตราภาษี การผ่อนคลายกฎระเบียบในภาคการเงิน และการใช้จ่ายทางการคลัง ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ และหนุนผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในตลาด
สำนักข่าว CNN รายงานว่า นายทรัมป์ได้กลายเป็นว่าที่ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐแล้ว โดยล่าสุด CNN คาดว่า นายทรัมป์ได้คะแนนจากคณะผู้เลือกตั้งมากถึง 276 เสียง เกินกว่าระดับ 270 เสียงสำหรับการเป็นผู้ชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ส่วนนางคามาลา แฮร์ริส คู่แข่งจากพรรคเดโมแครต ได้เพียง 223 เสียง
นอกจากนี้ พรรครีพับลิกันยังมีแนวโน้มกวาดชัยชนะทั้งในวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ โดยขณะนี้ CNN รายงานว่า พรรครีพับลิกันสามารถครองเสียงข้างมากในวุฒิสภาแล้ว โดยมีอยู่ 52 เสียง เกินกว่าระดับ 50 เสียงที่จำเป็นในการครองเสียงข้างมาก ขณะที่พรรคเดโมแครตได้เพียง 42 เสียง ส่วนในสภาผู้แทนราษฎรนั้น ขณะนี้พรรครีพับลิกันได้รับ 204 เสียง ใกล้ระดับ 218 เสียงสำหรับการครองเสียงข้างมาก ขณะที่พรรคเดโมแครตได้เพียง 182 เสียง
การคว้าชัยชนะอย่างรวดเร็วของนายทรัมป์ในเวลาไม่นานหลังการปิดหีบเลือกตั้งในสหรัฐ ถือเป็นการสวนกระแสคาดการณ์ของโพลหลายสำนักที่ว่า การแข่งขันระหว่างนายทรัมป์และนางแฮร์ริสจะเป็นไปอย่างสูสี และการประกาศผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอาจยืดเยื้อและใช้เวลาหลายวันเหมือนกับการเลือกตั้งในปี 2563 ซึ่งนายโจ ไบเดน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครตสามารถคว้าชัยชนะเหนือนายทรัมป์
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะเริ่มการประชุมนโยบายการเงินเป็นเวลา 2 วันในวันนี้ ขณะที่นักลงทุนยังคงคาดว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมรอบนี้
ล่าสุด FedWatch Tool ของ CME Group บ่งชี้ว่า นักลงทุนให้น้ำหนัก 97.5% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% ในการประชุมวันที่ 6-7 พ.ย. รวมทั้งให้น้ำหนัก 68.7% ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% สู่ระดับ 4.25-4.50% ในการประชุมเดือนธ.ค.
หากเฟดลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในเดือนพ.ย.และเดือนธ.ค.ตามคาด ก็จะสอดคล้องกับคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ของเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ภายในสิ้นปีนี้
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เฟดส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ย 1.00% ในปี 2568 และลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในปี 2569
โดยรวมแล้ว Dot Plot บ่งชี้ว่า เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยอีก 2.00% หลังการปรับลดอัตราดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมวันที่ 18 ก.ย.