CPAXT รายได้ธุรกิจค้าปลีก-ค่าเช่าพุ่ง ดันกำไร Q3 โต 16% แตะ 1.9 พันล้านบาท
CPAXT รายงานงบไตรมาส 3/67 กำไรแตะ 1.9 พันล้านบาท โต 16% จากปีก่อนมีกำไร 1.6 พันล้านบาท รับรายได้ธุรกิจค้าปลีกเพิ่มขึ้น และรายได้ค่าเช่าและรายได้จากการให้บริการศูนย์การค้าเพิ่มขึ้น ดันงวด 9 เดือนแรกแตะ 6.6 พันล้านบาท โต 23%
บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3/67 และงวด 9 เดือนแรกของปี 67 มีกำไรสุทธิ ดังนี้
สำหรับ CPAXT รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/67 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,952.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.40% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,676.91 ล้านบาท เป็นผลมาจากในไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวมทั้งสิ้น 124,441 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4,939 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.1 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้จากการขายสินค้า 118,864 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5,026 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.4 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตของรายได้จาก การขายของกลุ่มธุรกิจค้าส่งร้อยละ 5.2 หนุนจากการเติบโตของทุกหน่วยธุรกิจ โดยเฉพาะจากยอดขายกลุ่มสินค้า อาหารสด และยอดขายนอกร้านพร้อมการส่งสินค้าถึงลูกค้า (“Omni Channel”) รวมถึงการขยายสาขา
ขณะที่รายได้จากการขายของกลุ่มธุรกิจค้าปลีกเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 จากกลยุทธ์ในการมุ่งเน้นกลุ่มสินค้าอาหารสด และ การขายผ่าน Omni Channel ทั้งนี้สัดส่วน Omni Channel ของบริษัทฯ และบริษัทย่อยคิดเป็นร้อยละ 18.8 ของ รายได้จากการขายสินค้า บรรลุเป้าหมายที่บริษัทฯ วางไว้ของปีนี้ ตอกย้ำถึงความเป็น “ผู้นำเทคโนโลยีค้าปลีกค้าส่ง” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันทั้งในระดับประเทศและภูมิภาค
อีกทั้งบริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้ค่าเช่าและรายได้จากการให้บริการศูนย์การค้า 3,598 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าจะอยู่ระหว่างการขอคืนพื้นที่เช่าชั่วคราว เพื่อดำเนินการปรับปรุงพื้นที่ศูนย์การค้าของกลุ่มธุรกิจค้าส่งตามกลยุทธ์ของบริษัทฯ ก็ตาม
ทั้งนี้ บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีกำไรขั้นต้นจากการให้เช่าและการให้บริการศูนย์การค้า 1,999 ล้านบาท เติบโตขึ้น 93 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.9 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นจากการให้เช่า และการให้บริการศูนย์การค้าเพิ่มขึ้นอยู่ที่ร้อยละ 55.6 จากร้อยละ 53.0 ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งการปรับตัวดีขึ้นของผลการดำเนินงานการให้บริการศูนย์การค้า มีสาเหตุหลักมาจากการบริหารค่าใช้จ่ายได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ขณะที่ผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกปี 67 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 6,609.31 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.34% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 5,358.45 ล้านบาท
นายธานินทร์ บูรณมานิต ประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มบริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2567 ทำรายได้รวม 124,441 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.1% โดยมีกำไรสุทธิ 1,952 ล้านบาท เติบโตขึ้น 16.4% ขณะที่กำไรสุทธิหลังการปรับปรุงรายการ(1) อยู่ที่ 2,410 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) เป็นผลมาจากยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่เติบโตขึ้นทั้งธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอาหารสด การขายนอกร้าน พร้อมการส่งสินค้าถึงลูกค้า (“Omni Channel”) ที่ขยายตัวต่อเนื่อง
โดยมีสัดส่วน 19% ของยอดขายรวม ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่บริษัทฯ ตั้งไว้ ส่งผลให้ใน 9 เดือนแรกของปี 2567 มีรายได้รวม 378,416 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 6,609 ล้านบาท เติบโตขึ้น 4.7% และ 23.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) ตามลำดับ นอกจากนี้ อีกปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนให้บริษัทมีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง คือการเดินหน้าขยายสาขา 43 แห่ง พร้อมปรับโฉมสาขา และพัฒนามอลล์อย่างต่อเนื่อง สะท้อนความสำเร็จจากการดำเนินงานตามกลยุทธ์ที่ตั้งไว้
สำหรับแนวทางการเติบโตในไตรมาส 4/2567 บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นขับเคลื่อนการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผ่านกลยุทธ์สำคัญ ได้แก่
1.การเพิ่มความแข็งแกร่งกลุ่มสินค้าอาหารสด ผ่านการผนึกกำลังสรรหาสินค้า เพื่อสร้างความแตกต่าง และความหลากหลาย ในราคาที่คุ้มค่า พัฒนาต่อยอดอาหารพร้อมปรุง อาหารพร้อมทาน เบเกอรี่ และสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ (Private Label) ซึ่งส่งผลดีต่ออัตรากำไรขั้นต้น
2.การพัฒนาทุกช่องทางจำหน่าย โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์และการส่งสินค้าถึงลูกค้า จากการขยายพื้นที่ให้บริการ โดยใช้จุดแข็งของเครือข่ายสาขาทั้งธุรกิจค้าส่งและค้าปลีก 2,600 สาขาทั่วประเทศ พร้อมพัฒนาทีมขายนอกร้าน เพื่อให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการได้อย่างตรงจุดยิ่งขึ้น
3.การขยายสาขา ปรับโฉมสาขาและพัฒนามอลล์ สู่การเป็นศูนย์กลางชุมชน ที่รองรับการใช้ชีวิตแบบสมาร์ทของคนทุกวัย ล่าสุด บริษัทฯ ได้เปิดโลตัส สาขายะลา ซึ่งเป็นสาขารูปแบบ hypermarket แห่งแรกของบริษัทฯ ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ พร้อมขยายสาขารูปแบบ Hybrid ที่รวมทั้งค้าปลีกและค้าส่งไว้ในที่เดียว ได้แก่ แม็คโคร-โลตัสมอลล์ สาขาชัยนาท และสาขาถนนศรีอยุธยา
รวมถึงการปรับโฉมสาขา เพื่อตอบโจทย์และสร้างประสบการณ์การจับจ่ายที่เหนือกว่า ให้กับลูกค้าและผู้ประกอบการอย่างลงตัวด้วยกลยุทธ์ ควบคู่กับการจัดกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง สอดรับกับการเติบโตของเศรษฐกิจ การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทย ซึ่งส่งผลดีต่อธุรกิจโฮเรก้า รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ คาดว่าจะส่งผลบวกต่อการเติบโตของบริษัทฯ ด้วย
นอกจากนี้ ที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติในหลายสาขา สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจเคียงข้างสังคมไทย ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี ได้แก่ รางวัลจากเวที IAA Awards for Listed Companies 2024 สาขา Outstanding CEO, Outstanding CFO และ Outstanding IR รวมถึงรางวัล MEA ENERGY AWARDS ปีที่ 7 จากการไฟฟ้านครหลวง (MEA) ประเภทอาคารประหยัดพลังงาน กลุ่มไฮเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อ แสดงให้เห็นถึงการจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2573