GPSC ท็อปพิก! รับกกพ.ชง 3 ทางเลือกค่าไฟ ม.ค.-เม.ย.68 ราคา 4.18-5.49 บ./หน่วย

โบรกมองกกพ.เรียกเก็บค่าไฟฟ้างวดเดือน ม.ค.-เม.ย.68 ที่ 4.18-5.49 บาท/หน่วย มีมุมมองบวกต่อ GPSC เนื่องจากมีงบดุลที่แข็งแกร่งกว่า มูลค่าที่สมเหตุสมผลกว่า และมีแนวโน้มการฟื้นตัวในระยะสั้นที่ดีกว่า แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 53 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานกรณี สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) ได้เปิดรับฟังความคิดเห็น ค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) งวดเดือน ม.ค.-เม.ย.68  ตามมติที่ประชุม กกพ. เมื่อวันที่ 6 พ.ย.67 ที่ผ่านมา

สำหรับการเรียกเก็บค่าไฟฟ้างวดเดือน ม.ค.-เม.ย.68 ที่ 4.18-5.49 บาท/หน่วย จากค่าไฟฟ้าฐานที่ 3.78 บาท/หน่วย ซึ่งงวดก่อนหน้าอยู่ที่ 4.18 บาท/หน่วย โดยเปิดรับฟังความคิดเห็น แบ่งเป็น 3 กรณี ตั้งแต่วันที่ 8-22 พ.ย.67 ก่อนสรุปและประกาศต่อไป

แนวทางที่ 1 ปรับค่า Ft ขายปลีกเท่ากับ 170.71 สตางค์ต่อหน่วย ค่าไฟฟ้าปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.49 บาทต่อหน่วย เพื่อจ่ายคืนภาระต้นทุนการจัดหาก๊าซธรรมชาติและไฟฟ้าทั้งหมดในงวดเดียว

แนวทางที่  ปรับค่า Ft ขายปลีกเท่ากับ 147.53 สตางค์ต่อหน่วย ค่าไฟฟ้าปรับเพิ่มขึ้นเป็น 5.26 บาทต่อหน่วย เพื่อจ่ายคืนภาระต้นทุนคงค้างทั้งหมดในงวดเดียว

แนวทางที่ 3 ตรึงค่า Ft เท่ากับงวดปัจจุบัน โดยค่า Ft ขายปลีกเท่ากับ 39.72 สตางค์ต่อหน่วย ค่าไฟฟ้าคงที่ 4.18 บาทต่อหน่วย เท่ากับค่าไฟฟ้าเฉลี่ยในงวดปัจจุบัน

สอดคล้องกับฝ่ายนักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ระบุว่า คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (ERC) ได้เสนอ 3 สถานการณ์สำหรับอัตราค่าไฟฟ้าใหม่สำหรับช่วงมกราคม-เมษายนปี 68 อยู่ในช่วง 4.18 ถึง 5.49 บาทต่อหน่วย เทียบกับอัตราปัจจุบันที่ 4.18 บาทต่อหน่วย

สำหรับข้อเสนออัตราค่าไฟฟ้านี้ดีกว่าที่ทางฝ่ายวิจัยคาดการณ์ไว้เล็กน้อย หากไม่มีการแทรกแซงเพิ่มเติมจากรัฐบาล สถานการณ์กรณีที่ต่ำที่สุดที่ 4.18 บาทต่อหน่วย จะช่วยให้สามารถชำระคืนเงินอุดหนุนก่อนหน้านี้ให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) และ ปตท. ในอัตรา 0.23 บาทต่อหน่วย ซึ่งบ่งชี้ถึงการขยายตัวของมาร์จิ้นสำหรับโรงไฟฟ้า cogeneration โดยสถานการณ์นี้ยังสูงกว่าประมาณการปี 68 ที่ 4.12 บาทต่อหน่วย

นอกจากนี้ การคาดการณ์ต้นทุนก๊าซของ ERC ที่ 323 บาทต่อล้านบีทียู ก็สูงกว่าประมาณการปีงบประมาณ 68 ของทางฝ่ายวิจัยที่ 320 บาทต่อล้านบีทียูเล็กน้อย

ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยเลือก บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC เป็น Top Pick ของหุ้นในกลุ่มโรงไฟฟ้า เนื่องจากงบดุลที่แข็งแกร่ง, มูลค่าสมเหตุสมผล และมีแนวโน้มการฟื้นตัวในระยะสั้นที่ดี ให้คำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ GPSC โดยมูลค่าที่เหมาะสมเท่ากับ 53.00 บาท ขณะที่แนะนำ “ถือ” สำหรับ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM โดยมีมูลค่าที่เหมาะสมที่ 24.00 บาท

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ให้ความเห็นว่า กกพ. เปิดเฮียริ่ง 3 ทางเลือกค่าไฟงวดมกราคม-เมษายน 2568 ในช่วง 4.18-5.49 บาท/หน่วย ประเมินเป็นกลาง (Neutral) ต่อหุ้นกลุ่มสาธารณูปโภค จากที่มองว่าด้วยแนวโน้มเศรษฐกิจในปัจจุบัน อาจจะมีความยากในการขึ้นค่า Ft จากปัจจุบันที่ 4.18 บาท/หน่วย และอาจมีความเป็นไปได้ที่จะยังคงค่า Ft ต่อไป

อย่างไรก็ดี ยังต้องมีความจำเป็นที่รัฐฯต้องคืนภาระที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยแบกรับอยู่ราวแสนล้านบาท คือ ค่า Ft จะต้องขึ้นกว่าปัจจุบัน โดยรวมทำให้ประเมินต้องติดตามความคืบหน้า

ทั้งนี้ กรณีที่จะเป็นบวก คือ GPSC หาก Ft ปรับขึ้นไปใน band บนหรือมากกว่า 4.18 บาท/หน่วยในปัจจุบัน และต้นทุนค่าก๊าซคาดลดลงในปี 2568 จะทำให้ IU margin (อัตราค่าไฟฟ้าพื้นฐาน บวกค่า Ft หักต้นทุนก๊าซ) กว้างขึ้น ข่าวนี้จะส่งผลบวกต่อหุ้นกลุ่ม SPP อาทิ BGRIM และ GPSC เพื่อให้คืนได้หมดภายในระยะเวลาประมาณ 2 ปีกว่าๆ

นอกจากนี้ การปรับขึ้นค่า Ft ทุกๆ 0.01 บาท หรือ 1 สตางค์ คาดว่าจะบวกต่อกำไรของ GPSC และ BGRIM ราว 1%

บริษัท หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุว่า ประเด็นดังกล่าวถือเป็นมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มโรงไฟฟ้าทั้งกลุ่ม โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการโรงไฟฟ้า SPP ที่มีสัดส่วนขายไฟฟ้าให้แก่กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมค่อนข้างสูง อาทิ

GPSC สัดส่วนรายได้จากการขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมราว 30-35% ของรายได้รวม

BGRIM สัดส่วนรายได้จากการขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมราว 25-27% ของรายได้รวม

GULF สัดส่วนรายได้จากการขายไฟฟ้าให้ลูกค้าอุตสาหกรรมราว 8-10% ของรายได้รวม

เนื่องจากค่า Ft งวดใหม่ ทั้ง 3 กรณี มีแนวโน้มทรงตัว หรือมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นจากงวดก่อนหน้า ในขณะที่ต้นทุนเชื้อเพลิงพลังงานมีแนวโน้มลดลง ทำให้คาดจะได้รับประโยชน์จากการทยอยชำระหนี้คืนให้แก่ กฟผ. ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 23-131 สตางค์ต่อหน่วย จากงวดเดือนกันยายน-ธันวาคม ที่มีการทยอยชำระหนี้เพียงราว 5.42 สตางค์ต่อหน่วย

ซึ่งหากเป็นไปตามแนวทางข้างต้นจะส่งผลให้ อัตรากำไรขั้นต้นของกลุ่มโรงไฟฟ้า SPP ในช่วงไตรมาส 1/68 มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 4/67

แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน กกพ. ยังอยู่ระหว่างการเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน และอาจยังมีความเสี่ยงในด้านนโยบายภาครัฐที่อาจมีมาตรการปรับลดค่า Ft ลง ให้ต่ำกว่าแนวทางที่ กกพ. นำเสนอข้างต้น จึงถือเป็นประเด็นที่ยังต้องรอข้อสรุปที่ชัดเจนอย่างเป็นทางการต่อไป

Back to top button