JPARK ค่าเช่า “ลานจอดรถ” ดันกำไรไตรมาส 3 โตทะลัก 3 เท่าตัว
JPARK รายงานกำไรไตรมาส 3 โต 312% มาที่ 91.50 ล้านบาท รับรายได้ให้เช่าช่วงพื้นที่อาคารจอดรถพุ่ง ดันงวด 9 เดือนกำไร 142 ล้านบาท โต 184% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
บริษัท เจนก้องไกล จำกัด (มหาชน) หรือ JPARK รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนแรกของปี 67 สิ้นสุด 30 ก.ย.67 มีกำไรสุทธิ ดังนี้
สำหรับงวด 3 เดือน บริษัทมีรายได้จากการให้บริการ จำนวน 122.19 ล้านบาท และ 169.89 ล้านบาท ตามลำดับ รายได้ลดลงจากปีก่อน จำนวน 47.70 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 28.08% โดยมีผลมาจากรายได้จากธุรกิจให้คำปรึกษาและรับติดตั้งระบบบริหารจัดการพื้นที่จอดรถ (CIPS) ลดลง 45.93 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 90.93% เนื่องจากงานโครงการรถไฟฟ้า Smart Parking Management System และ Guidance System ที่บริษัทได้รับสัญญาจ้างมาในช่วงกลางปี 2566 ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตามอัตราส่วนของงานที่ทำเสร็จ (Percentage of Completion) ตามมาตรฐานการรายงานทางการเงิน
โดยความก้าวหน้าของขั้นความสำเร็จของงานในไตรมาส 3 ปี 2567 ของโครงการฯ มีอัตราความสำเร็จของงานเพิ่มขึ้นที่น้อยกว่าอัตราความสำเร็จของงานที่รับรู้ในช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 อันเป็นลักษณะปกติของอัตราความสำเร็จช่วงท้ายที่ใกล้จะจบโครงการ (ส่วนท้ายของ S-Curve) รวมไปถึงการลดลงของรายได้จากธุรกิจให้บริการที่จอดรถลดลง 0.70 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการที่บริษัทไม่ต่อสัญญา สำหรับบางหน่วยงานที่สัญญาสิ้นสุดในปี 2567 เนื่องจากเป็นหน่วยงานดังกล่าวที่มีผลการดำเนินงานที่ลดลงและไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
ทั้งนี้ สำหรับงวด 3 เดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิ 91.50 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 74.88% เปรียบเทียบกับกำไรสุทธิของช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 จำนวน 22.20 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 13.07% เนื่องจากบริษัทได้ให้เช่าช่วงพื้นที่อาคารจอดรถเพื่อนำไปพัฒนาเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ จึงทำให้บริษัทมีกำไรจากส่วนต่างสัญญาเช่า-ให้เช่าช่วงพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งเป็นรายการที่เกิดขึ้นไม่ประจำ
นายสันติพล เจนวัฒนไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JPARK เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 91.50 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 69.30 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 312.16% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนปีที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 22.20 ล้านบาท ในขณะที่บริษัทฯ มีรายได้รวมสำหรับไตรมาสที่ 3 ของปี 2567 อยู่ที่ 122.19 ล้านบาท ลดลง 47.70 ล้านบาท หรือคิดเป็นลดลง 28.08% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 169.89 ล้านบาท
โดยล่าสุดบริษัทได้ดำเนินการเปิดให้บริการอาคารจอดรถกาญจนสุข และมีพื้นที่เชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยอาคารจอดรถดังกล่าวเป็นอาคารจอดรถความสูง 6 ชั้น รองรับรถยนต์ได้ 532 คัน และรถจักรยานยนต์ 72 คัน มีพื้นที่ใช้สอยทั้งหมด 20,265 ตารางเมตร โดยจัดเป็นพื้นที่ให้บริการเชิงพาณิชย์ 4,266 ตารางเมตร
ประกอบไปด้วยร้านค้าชั้นนำที่เข้ามาเช่าพื้นที่กว่า 80 ร้านค้า ทำให้กำไรสุทธิที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า 3 เท่าตัว การที่บริษัทได้ให้เช่าช่วงพื้นที่อาคารจอดรถเพื่อนำไปพัฒนาเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ จึงทำให้บริษัทมีกำไรจากส่วนต่างระหว่างต้นทุนที่ปันส่วนแล้วสำหรับพื้นที่เชิงพาณิชย์ (ประกอบค่าเช่าหลักที่ต้องจ่ายให้กับเจ้าของที่ดินและค่าก่อสร้าง) กับยอดรวมค่าเช่าช่วงรับตลอด 30 ปี หลังจากพิจารณาตามหลักการของมูลค่าปัจจุบัน ทำให้เกิดกำไรส่วนต่าง 95.06 ล้านบาท ซึ่งต้องบันทึกเป็นกำไรทันทีตามหลักการบัญชี และหลังจากนี้ ตลอด 30 ปี จะทยอยรับรู้ค่าเช่าที่ได้รับในแต่ละเดือนเป็นรายได้ (recurring income) จนกว่าสัญญาจะสิ้นสุด โดยไม่มีต้นทุนทางตรงที่เกี่ยวข้องกับสัญญาเช่าอีก เพราะถูกหักกลบไปแล้วกับกำไรส่วนต่างข้างต้นแล้ว
ทั้งนี้ การนำพื้นที่มาพัฒนาเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์เหมาะสมและให้ประโยชน์ที่ยั่งยืนกว่าการพัฒนาเป็นที่จอดรถทั้งหมด โดยพิจารณาจาก market survey และ feasibility study ที่ทำไว้ การทำพื้นที่จอดรถ 500 กว่าคันเป็นจำนวนที่ได้กำไรสูงสุดต่อปริมาณการใช้รถยนต์ในบริเวณโรงพยาบาลพระนั่งเกล้าและบริเวณใกล้เคียง นอกจากนี้ ร้านค้าต่างๆ ในพื้นที่เชิงพาณิชย์ยังช่วยสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้มาใช้พื้นที่จอดรถ และในทางกลับกันพื้นที่จอดรถก็ช่วยสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้มาจับจ่ายในร้านค้าพื้นที่เชิงพาณิชย์ ทำให้มีการใช้พื้นที่จอดรถมากขึ้น
ส่วนที่รายได้จากธุรกิจให้คำปรึกษา และรับติดตั้งระบบบริหารจัดการพื้นที่จอดรถ หรือ CIPS ลดลง 45.93 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 90.93% เนื่องจากงานโครงการรถไฟฟ้า Smart Parking Management System และ Guidance System ที่บริษัทได้รับสัญญาจ้างมาในช่วงกลางปี 2566 ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ตามอัตราส่วนของงานที่ทำเสร็จ หรือ Percentage of Completion นั้น ปัจจุบันเสร็จแล้วพร้อมส่งมอบ ทำให้รับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่ลดลง อันเป็นลักษณะปกติของงานประเภทโครงการ (project base) ที่ตอนต้นและตอนกลางของโครงการจะรับรู้ได้ที่เป็นเนื้อเป็นหนังได้มากกว่า
สำหรับรายได้จากธุรกิจรับจ้างบริหาร และให้บริการที่จอดรถอยู่ในระดับที่ไม่แตกต่างจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในขณะที่บริษัทมีพื้นที่ที่ให้บริการเพิ่มขึ้นจาก 29,534 ช่องจอดในปีก่อน และขยายเป็น 38,466 ช่องจอดในปัจจุบันนั้น บริษัทก็มีการพิจารณาไม่ต่อสัญญาเก่าสำหรับบางพื้นที่ที่ไม่ทำกำไรอันเป็นผลมาจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ทำให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้นในธุรกิจบริการส่วนนี้สูงขึ้นในขณะที่รายได้ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก และตามที่ทราบกันว่า บริษัทตั้งเป้าหมายว่าจะขยายจำนวนช่องจอดเป็น 40,000 ช่องจอดภายในสิ้นปี 2567 นั้น บริษัทมีความมั่นใจว่า บริษัทสามารถทำตามที่ตั้งเป้าหมายไว้สำหรับปีนี้ได้อย่างแน่นอนและอาจจะทะลุเป้าด้วยซ้ำไป เนื่องบริษัทจะมีการเปิดหน่วยงานเพิ่มเติมในไตรมาสสี่