MINT โชว์กำไร 9 เดือนแรก โต 19% แตะ 5.5 พันล้าน แย้ม Q4 สดใสรับไฮซีชั่น
MINT เปิดกำไรจากการดำเนินงาน 9 เดือนแรกปี 67 เติบโต 19% แตะ 5.5 พันล้านบาท รับอานิสงส์ธุรกิจโรงแรมร้านอาหาร มั่นใจไตรมาส 4/67 สดใส คาดนักท่องเที่ยวต่างชาติพุ่ง หนุนยอดจองโรงแรมทะลักรับไฮซีชั่น
บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ประกาศกำไรสุทธิจากการดำเนินงานสำหรับสำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2567 ที่จำนวน 5,514 ล้านบาท ซึ่งเติบโตร้อยละ 19 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อมจากการดำเนินงานเติบโตร้อยละ 11 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 33,623 ล้านบาท
ทั้งนี้ ขับเคลื่อนโดยรายได้หลักจากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 ซึ่งได้แรงหนุนจากผลการดำเนินงานที่โดดเด่นในธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารของ MINT โดยการเติบโตที่แข็งแกร่งนี้ได้รับแรงผลักดันจากการบริหารรายได้อย่างมีประสิทธิผล ส่งผลให้ราคาห้องพักเฉลี่ยและรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนในกลุ่มโรงแรมของ MINT เพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับการรักษาวินัยด้านต้นทุนอย่างต่อเนื่อง
โดยในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 การดำเนินงานธุรกิจโรงแรมภายใต้ MINT มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีปัจจัยหลักมาจากความต้องการที่แข็งแกร่งทั้งในส่วนของการเดินทางเพื่อธุรกิจและการพักผ่อนในทวีปยุโรป โดยไมเนอร์ โฮเทลส์ ยุโรปและอเมริกา สามารถเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนขึ้นร้อยละ 9 และมีราคาห้องพักเฉลี่ยสูงขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากจำนวนนักท่องเที่ยวสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักรที่ยังคงเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว ทั้งในสเปน ยุโรปตอนกลาง และเบเนลักซ์ ท่ามกลางปัจจัยบวกนี้ MINT ประสบความสำเร็จในการดำเนินกลยุทธ์ด้านราคาและความคิดริเริ่มทางการตลาดใหม่ๆ เพื่อที่บริษัทจะได้ประโยชน์สูงสุดจากกระแสการท่องเที่ยวที่แข็งแกร่ง
ขณะที่ในประเทศไทย แม้จะมีฝนตกตามฤดูกาล แต่ราคาห้องพักเฉลี่ยและรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนยังคงเติบโตขึ้นร้อยละ 12 จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังคงเดินทางเข้ามาอย่างต่อเนื่องและการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศที่เฟื่องฟู อีกทั้งกลยุทธ์การพัฒนาผลตอบแทนทำให้ราคาห้องพักเฉลี่ยสูงขึ้นร้อยละ 9 รวมถึงอัตราการเข้าพักปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 แสดงให้เห็นถึงความสามารถของบริษัทในการดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่หลากหลาย ซึ่งสามารถสร้างรายได้ตลอดทั้งปี
ทั้งนี้ ในปี 2567 MINT ได้ขยายพอร์ตโฟลิโอธุรกิจในส่วนของโรงแรมเพิ่มเติม โดยการเปิดโรงแรมใหม่ ซึ่งรวมถึงเอ็นเอชในปารีสและแอฟริกาใต้ อวานีในอัมสเตอร์ดัม และเอ็นเอช คอลเลคชั่นในเฮลซิงกิ และการเปิดตัวโรงแรมใหม่อีกหลายแห่งในภูมิภาคเอเชีย ได้แก่ อนันตรา ชัยปุระในอินเดีย เอ็นเอชในมัลดีฟส์ ศรีลังกา และกรุงเทพฯ
รวมถึงเอ็นเอช คอลเลคชั่นในสมุย MINT ยังมุ่งเน้นไปสู่โมเดลที่ลดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร (Asset-light Model) โดยครึ่งหนึ่งของจำนวนโรงแรมที่เปิดใหม่จะเป็นโรงแรมภายใต้สัญญารับจ้างบริหาร ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ MINT ในการเพิ่มความสามารถในการทำกำไร และการสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดการเพื่อขยายฐานธุรกิจในตลาดสำคัญที่มีการเติบโตสูง
อย่างไรก็ตาม ไมเนอร์ ฟู้ดยังมีผลการดำเนินงานที่เติบโต โดยมียอดขายโดยรวมทุกสาขา (TSS) เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 ในประเทศไทย และร้อยละ 8 ในสิงคโปร์ จากการขยายธุรกิจของแบรนด์ต่างๆ เช่น แดรี่ ควีน, สเวนเซ่นส์ และกาก้า ซึ่งการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ช่วยผลักดันให้ผลการดำเนินงานบรรลุตามเป้าหมาย อาทิ การเปิดตัวเมนูใหม่ช็อกโกแลตเบลเยียมของแดรี่ ควีน ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
โดยมีทั้งจำนวนลูกค้าและยอดการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ การเปิดตัว BatterCatch ซึ่งเป็นร้านอาหารประเภทฟิชแอนด์ชิปของไมเนอร์ ฟู้ดในสิงคโปร์ ได้รับการตอบรับอย่างดีในตลาด ตอกย้ำความสามารถของ ไมเนอร์ ฟู้ดในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและการเปิดตัวแนวคิดใหม่ที่ประสบความสำเร็จ ทั้งนี้ กระแสการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองปลายปีกำลังใกล้เข้ามาทำให้ไมเนอร์ ฟู้ดจะได้ประโยชน์จากการเป็นผู้นำตลาด ตลอดจนการเปิดสาขา กาก้าแห่งใหม่ในอินโดนีเซีย และการฉลองสาขาที่ 50 ในประเทศไทย
นอกจากนี้ MINT มีผลการเติบโตของกำไรจากการดำเนินงานอย่างแข็งแกร่งและมีอัตรากำไรที่เพิ่มขึ้นในไตรมาส 3 ปี 2567 โดยได้แรงหนุนจากการเพิ่มผลตอบแทน การบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงมีความต้องการที่แข็งแกร่งจากทั้งกลุ่มโรงแรมและร้านอาหาร เมื่อรวมรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว รายได้ตามที่รายงานของ MINT (Reported Revenue) สำหรับ 9 เดือนแรกของปี 2567 เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากปีก่อนเป็น 124,473 ล้านบาท โดยมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ยจ่าย ภาษีและค่าเสื่อมตามที่รายงาน (Reported EBITDA) เพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากปีก่อนหน้ามาอยู่ที่ 32,545 ล้านบาท
รวมไปถึงมีผลกำไรตามงบการเงิน (Reported NPAT) จำนวน 4,119 ล้านบาท โดยมีผลกระทบชั่วคราวจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นรายการทางบัญชีที่เกิดจากความผันผวนของค่าเงินในตราสารอนุพันธ์ที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะในไตรมาส 3 ปี 2567 อย่างไรก็ตาม ผลกระทบทางบัญชีนี้จะสิ้นสุดลงทั้งในส่วนของการบันทึกผลกำไรหรือขาดทุน เมื่อมีการชำระสัญญาอนุพันธุ์ ซึ่งการบริหารจัดการทางด้านการเงินดังกล่าว ได้ส่งผลด้านการลดต้นทุนทางการเงิน
ส่วนแนวโน้มสดใสในไตรมาสที่ 4 ปี 2567 ในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวที่กำลังจะมาถึงนี้ ถือเป็นโอกาสของ MINT ในการตอบรับความต้องการที่แข็งแกร่งในตลาดหลักๆ ได้ จากยอดจองโรงแรมล่วงหน้าในจุดหมายปลายทางยอดนิยม เช่น ประเทศไทยและบาหลี เพิ่มขึ้น ซึ่งได้แรงหนุนจากการสร้างประสบการณ์ที่เจาะกลุ่มนักเดินทางระดับบนที่มีแผนการเดินทางช่วงเทศกาลและวันหยุดพิเศษ อีกทั้งความต้องการการเดินทางของลูกค้ากลุ่มองค์กรในทวีปยุโรปยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับยอดการจองโรงแรมในช่วงวันหยุดเดือนธันวาคมที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน
นอกจากนี้ ไมเนอร์ ฟู้ดยังเตรียมพร้อมที่จะนำเสนอเมนูพิเศษตามฤดูกาลและแคมเปญที่ออกแบบมาในไตรมาสที่ 4 เพื่อเพิ่มจำนวนลูกค้าที่มารับประทานอาหารที่ร้านและเพิ่มยอดการใช้จ่ายของลูกค้าในช่วงเทศกาล รวมถึงมาตรการการตลาดจาก แบรนด์ต่างๆ ในประเทศไทย เช่น สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เล่อร์ และเดอะ พิซซ่า คอมปะนี เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมของลูกค้าและเพิ่มยอดการใช้จ่ายโดยเฉลี่ยอีกด้วย
นายดิลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม MINT กล่าวถึงปัจจัยบวกในช่วงเดือนข้างหน้า โดยระบุว่า ธุรกิจที่อยู่ภายใต้พอร์ตโฟลิโอของเราสามารถตอบสนองความต้องการที่หลากหลายในช่วงเทศกาลวันหยุด ทั้งแคมเปญเชิงกลยุทธ์ควบคู่ไปกับการมอบประสบการณ์อันน่าจดจำ ทำให้เราก้าวเข้าสู่ไตรมาสที่ 4 ปี 2567 อย่างมั่นใจในการสร้างความพึงพอใจให้กับแขกทุกคนที่มาพัก ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลการดำเนินงานที่โดดเด่นสำหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและพันธมิตรของเรา
“ความแข็งแกร่งทางการเงินของเรายังคงเป็นสิ่งสำคัญในอันดับต้นๆ ในไตรมาสนี้ เราสามารถลดหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยลงได้ถึง 7.6 พันล้านบาท ส่งผลให้งบดุลของเราแข็งแกร่งยิ่งขึ้น นอกจากนี้ เรายังมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลเพิ่มเติม ส่งผลให้เงินปันผลทั้งหมดที่จ่ายในปี 2567 คิดรวมเป็น 0.57 บาทต่อหุ้น สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในการสร้างเงินสดจากธุรกิจของเรา และความมุ่งมั่นในการสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น” นายดิลิป กล่าว