SIRI โกยรายได้ Q3 แตะ 9.4 พันล้าน รับยอดขายบ้านเดี่ยว-ทาวน์โฮม หนุน
SIRI เปิดรายได้ไตรมาส 3/67 แตะ 9.4 พันล้านบาท อานิสงส์ยอดขายโครงการแนวราบ บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮมและมิกซ์ โปรดักส์ หนุน
บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนแรก สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 ดังนี้
บริษัทฯ รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 3/67 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,307.44 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1,557.34 ล้านบาท โดยบริษัทฯมีรายได้รวมอยู่ที่ 9,415 ล้านบาท ทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนอยู่ที่ 9,406 ล้านบาท โดยในไตรมาสนี้ บริษัทฯ มีการบันทึกกำไรจากการขายที่ดินอยู่ที่ 70 ล้านบาท สำหรับกำไรสุทธิ (ส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ) เป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร รวมถึงต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น อย่างไรก็ดีการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายและต้นทุนบางส่วน ถูกชดเชยด้วยการเพิ่มขึ้นของส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในการร่วมค้าและค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ที่ลดลง
ขณะที่บริษัทฯมรายได้จากการขายโครงการทาวน์โฮม ลดลง 11.2% หรือ 109 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี เป็น 861 ล้านบาท โดยรายได้หลักมาจากโครงการเดมี่ สาธุ 49
อีกทั้ง รายได้จากการขายโครงการคอนโดมิเนียม ลดลง 5.2% หรือ 150 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 2,759 ล้านบาท รายได้หลักมาจากโครงการเดอะ เบส ไฮท์-เชียงใหม่ โครงการเอ็กซ์ที พญาไท โครงการเวย์ โพธิสาร โครงการดี คอนโด รีฟ ภูเก็ต และโครงการเอดจ์ พัทยากลาง โดยรายได้รวมจาก 5 โครงการดังกล่าว คิดเป็น 21% ของรายได้จากโครงการเพื่อขายทั้งหมด
รวมทั้งต้นทุนโครงการเพื่อขายในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 5,706 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.0% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ต้นทุนโครงการเพื่อขายในงวด 9 เดือนปี 67 เพิ่มขึ้น 13.0% เป็น 17,185 ล้านบาท โดยอัตรากำไรขั้นต้นของโครงการเพื่อ ขายในไตรมาสนี้ปรับตัวลดลงจาก 34.2% ในไตรมาส 3 ปีก่อนเป็น 31.1% จากการทำโปรโมชันเพื่อส่งเสริมการขาย โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ในกลุ่มระดับราคากลาง-ล่าง ตามสภาวะการแข่งขันในตลาดที่มากขึ้น
ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหารในไตรมาส 3 ปี 67 อยู่ที่ 1,852 ล้านบาท คิดเป็น 19.7% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารอยู่ที่ 14.6% ในจำนวนนี้เป็นค่าใช้จ่ายในการขายอยู่ที่ 729 ล้านบาท คิดเป็น 7.7% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นจาก 6.8% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี และค่าใช้จ่ายในการบริหารรวมค่าตอบแทนผู้บริหารอยู่ที่ 1,124 ล้านบาท คิดเป็น 11.9% ของรายได้รวม เพิ่มขึ้นจาก 7.9% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
นอกจากนี้ ต้นทุนทางการเงินในไตรมาส 3 ปี 67 อยู่ที่ 119 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.5% หรือ 5 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปี ก่อน อย่างไรก็ดี ต้นทุนทางการเงินงวด 9 เดือนปี 67 ลดลง 43.4% หรือ 152 ล้านบาท จากปีก่อนเป็น 199 ล้านบาท ปัจจัยหลักมาจากการปิดปรับปรุงโรงแรม SIXTY SoHo ประเทศสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่เดือนมกราคม 2567 ส่งผลให้ดอกเบี้ย ของโรงแรมที่ปิดปรับปรุงบันทึกเป็นต้นทุนได้แทนการบันทึกเป็นค่าใช้จ่ายทางการเงิน
อีกทั้ง บริษัทฯ ได้มีการบันทึกขาดทุนสำหรับงวดจากการดำเนินงานที่ยกเลิกอยู่ที่ 71 ล้านบาท อันเนื่องมาจากการจำหน่ายส่วนได้เสียในความเป็นเจ้าของทั้งหมดที่ถืออยู่ในกลุ่มบริษัท Standard International Management, LLC. ตามที่คณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2567 ดังนั้น ณ วันที่ 30 ก.ย. 67
อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยังคงมีรายได้จากการขายโครงการในไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 8,286 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.4% หรือ 36 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อยู่ที่ 8,250 ล้านบาท จากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายโครงการบ้านเดี่ยวและมิกซ์ โปรดักส์
โดยในไตรมาสนี้ มีรายได้จากการขายโครงการแนวราบ ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮมและมิกซ์ โปรดักส์ รวม 5,527 ล้านบาท คิดเป็น 67% ของรายได้จากการขายโครงการทั้งหมด ในจำนวนนี้เป็นรายได้จากการขาย โครงการบ้านเดี่ยวอยู่ที่ 3,737 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.9% หรือ 105 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้หลักมาจากโครงการบูก้าน กรุงเทพกรีฑา โครงการเศรษฐสิริ ดอนเมือง โครงการนาราสิริกรุงเทพกรีฑา โครงการเศรษฐสิริ บางนา-สุวรรณภูมิและ โครงการเศรษฐสิริ วงแหวน-จตุโชติโดยรายได้จากทั้ง 5 โครงการดังกล่าวคิดเป็น 18% ของรายได้จากการขายโครงการ ทั้งหมด
ส่วนผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปี 67 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 4,009.47 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 4,760.27 ล้านบาท