BJC ปักหมุด Q4 เปิดตัว “Big C Mini” รูปแบบใหม่ เจาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น
BJC ปักหมุด Q4 ปี 67 เปิดตัว “Big C Mini” รูปแบบใหม่ เจาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น รับมาตรการภาครัฐกระตุ้นเศรษฐกิจ ดันยอดขายสาขาเดิมพุ่ง ส่วนร้านค้าโดนใจเพิ่มเป็น 10,000 สาขา
นางสาวอัญชลี ริมวิริยะทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน “Opportunity Day” จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 18 พ.ย. 67 ว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2567 สิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2567 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 701.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.17% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 693.27 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวม 41,774.52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.47% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีรายได้รวม 41,170.95 ล้านบาท เป็นผลมาจากกลุ่มสินค้าเวชภัณฑ์และเทคนิค เนื่องจากการขยายสาขา รวมถึงนโยบายแจกเงินของภาครัฐ
ส่วนแนวโน้มการดำเนินงานไตรมาส 4/2567 หากประเมินช่วงเดือนพฤศจิกายน โมเมนตัมยังคงดีต่อเนื่อง และบริษัทฯ ยังเน้นที่การพัฒนากลุ่มค้าอาหารสด เนื่องจากมียอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น อีกทั้งเปิด “Big C Mini” ในรูปแบบใหม่ที่เจาะกลุ่มลูกค้าวัยรุ่น โดยจะมีการปรับปรุงสินค้าและบรรยากาศ รวมไปถึงพัฒนาร้านค้าสำหรับนักท่องเที่ยวด้วยการขยายสินค้าและการจัดสรรพื้นที่มากขึ้น โดยเชื่อมั่นว่ากำลังซื้อจะกลับมาเพิ่มขึ้น
นางสาวภัครดา นิธิวรรณกุล ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ BJC กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทเล็งเห็นการพัฒนากลุ่มค้าปลีกสมัยใหม่ โดยบริษัทฯ จะเน้นกลุ่มสินค้าอาหารสด เนื่องจากมียอดขายที่เพิ่มสูงขึ้น โดยการเปิด Big C Mini ในรูปแบบใหม่นั้น ซึ่งจะเพิ่มการนำเขาสินค้าที่หลากหลาย และสินค้าพรีเมียม อาทิ เนื้อวัวออสเตรเลีย เพื่อเจาะตลาดคนรุ่นใหม่และกลุ่มนักท่องเที่ยวมากขึ้น
ขณะที่ธุรกิจค้าส่ง กำลังดำเนินการเปิดตัว Big C Depot อีกครั้งโดยมุ่งเป้าไปที่ลูกค้าโดนใจ และเปิด Food Service Hub แห่งแรกในพัทยา ซึ่งเปิดตัวไปแล้วในต้นเดือนพฤศจิกายน ทั้งนี้ร้านค้าโดนใจยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยมีสาขาทั้งหมด 9,600 สาขา และในเตือนตุลาคมที่ผ่านมาเพิ่มเป็น 10,000 สาขา อีกทั้งบริษัทฯ ยังขับเคลื่อนการเติบโตของเครือข่าย “โดนใจ” ที่เป็นเป้าหมายต่อไป อีกทั้งการเพิ่มยอดขาย B2B ผ่านลูกค้าองค์กรและลูกค้าบริการ
อย่างไรก็ดี กลุ่มเป้าหมายตลาดตราสินค้ายังคงเติบโตต่อเนื่อง อยู่ที่ 13.80% ในไตรมาสที่ 3 ปี 2567 รวมถึงขยายการนำเข้าโดยตรงด้วยแพลนแกรมใหม่และ SKU อาหารแห้งใหม่จากสหราชอาณาจักร อิตาลี และฝรั่งเศส อีกทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ของญี่ปุ่นและเกาหลี
นอกจากนี้บริษัทปรับปรุงความพร้อมใช้งานและลดสินค้าคงคลัง โดยลดระดับสินค้าคงคลังด้วยการวางแผนส่งเสริมการขายที่ดีขึ้นและปรับปรุงความแม่นยำของการคาดการณ์ รวมถึงลดระยะเวลาในการจัดส่งในภาคใต้โดยใช้ Surat Hub และใช้ TMS เป็นระบบการวางแผนหลักเพื่อช่วยลดต้นทุนผ่านการเพิ่มประสิทธิภาพเส้นทางและการปรับปรุงประสิทธิภาพการขนส่ง
อย่างไรก็ดีบริษัทฯ ได้รับอานิสงส์มาตรการรัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจจากเงิน 10,000 บาท ส่งผลให้ยอดขายสาขาเดิม SSSG เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
“สำหรับงบประมาณการลงทุนปี 2567 อยู่ที่ 9,000-9,500 ล้านบาท โดยหลักเป็นกลุ่มค้าปลีกสมัยใหม่ คิดเป็น 56% ถัดมาเป็นส่วนของกลุ่มบรรจุภัณฑ์จะอยู่ที่ประมาณ 28% ของงบประมาณการลงทุนทั้งหมด สำหรับยอดขายการเติบโตปีนี้อยู่ที่ระดับอัตราตัวเลขหลักเดียวระดับต่ำถึงกลาง (low to mid single digit)” นางสาวภัครดา กล่าวทิ้งท้าย