MINT แย้ม Q4 ยอดจองห้องพักฝั่ง “ทวีปเอเชีย” พุ่ง ปักธงรายได้ปีนี้โต10%

MINT แย้มไตรมาส 4/67 ธุรกิจโรงแรมในทวีปเอเชียมียอดจองห้องพักล่วงหน้าเติบโตมากกว่า 10% มั่นใจรายได้ปีนี้โต 8-10% เดินหน้าลดสัดส่วนหนี้ต่อทุนเหลือ 0.8 เท่า ภายในสิ้นปีนี้


นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่าผลการดำเนินงานไตรมาส 3/67 บริษัทมีรายได้รวม 41,612.61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.44% จากงวดเดียวของปีก่อน 39,840.82 ล้านบาท รับอานิสงส์จากธุรกิจโรงแรม (Minor Hotel) และธุรกิจอาหาร (Minor Food) ที่มีรายได้เติบโตดีต่อเนื่อง

ขณะที่มีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 2,636 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากงวดเดียวของปีก่อน 2,273 ล้านบาท และมีรายได้รวม 41,61 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.44% จากงวดเดียวของปีก่อน 39,840.82 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถเชิงกลยุทธ์ของ MINT ที่ได้รับประโยชน์จากการเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืนและราคาห้องพักเฉลี่ยของกลุ่มโรงแรม ควบคู่ไปกับผลกำไรจากการดำเนินงานของทั้งสองธุรกิจ ทำให้บริษัทได้รับประโยชน์จากการขับเคลื่อนของอุตสาหกรรมที่ดีขึ้น

นอกจากนี้ กล่าวว่าไฮไลท์จากผลงานในไตรมาส 3 สู่การสานต่อไปยังไตรมาส 4/67 ว่าการรีแบรนด์ AVANI ที่บริษัทฯพัฒนาเองในประเทศไทยประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง โดยปีก่อนหน้าได้เปิดโรงแรม AVANI ที่เยอรมันและเนเธอร์แลนด์ ปัจจุบันมีโรงแรม AVANI ในยุโรป 6 แห่งและโรงแรม ANANTARA 9 แห่ง รวมถึงรายได้ที่ได้จากการรับจ้างบริหารโรงแรมครั้งแรกที่ประเทศแอฟริกาใต้ และเปิดโรงแรม ANANTARA ประเทศอินเดีย และรับจ้างบริหารโรงแรม มัลดีฟ ประเทศศรีลังกา รวมถึงที่เกาะสมุยด้วย

โดยกลุ่มธุรกิจโรงแรมเติบโต 6% ของรายได้ ซึ่งการใช้กลยุทธ์นอกเหนือจากดีมานด์และนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น ที่ทำให้เติบโตทั้งรายได้และกำไร คือ 1) อัพเกรดโรงแรมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ราคาเฉลี่ยต่อห้องพักมีการปรับตัวได้สูงกว่าอัตราเงินเฟ้อ 2) พัฒนาระบบการจองห้องพักให้นักท่องเที่ยวจองห้องพักผ่าน Retail Rate ทำให้เกิดกำไรสูงที่สุดจากช่องทางนี้ 56-60% สำหรับโรงแรมในยุโรปและเอเชีย และ 3) การขยายตัวของกลุ่มนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นจากตะวันออกกลาง, ออสเตรเลีย และอินเดีย

นายชัยพัฒน์ กล่าวต่อว่า แนวโน้มไตรมาส 4/67 เนื่องจากเป็นช่วงไฮซีซั่นของฤดูกาลท่องเที่ยวที่กำลังจะมาถึงนี้ ถือเป็นโอกาสของ MINT ในการตอบรับความต้องการที่แข็งแกร่งในตลาดหลักๆ ทั้งจากยอดจองโรงแรมล่วงหน้าในจุดหมายปลายทางยอดนิยม เช่น ประเทศไทยและบาหลีเพิ่มขึ้น  อีกทั้งความต้องการการเดินทางของลูกค้ากลุ่มองค์กรในทวีปยุโรปยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับยอดการจองโรงแรมในช่วงวันหยุดเดือนธ.ค. 67 เพิ่มขึ้นเช่นกัน จากการดำเนินงานโรงแรมที่แข็งแกร่ง จากยอดจองโรงแรมในไทยเติบโตแบบตัวเลขสองหลักในปัจจุบันอยู่ที่ 10% และการเติบโตแบบตัวเลขหลักเดียวสูงในรายได้จากยุโรป

ประกอบกับภาพรวมของผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/2567 ยังคงมีทิศทางที่ดี โดยธุรกิจโรงแรมช่วงไตรมาส 4/2567 มีทิศทางที่ดี มียอดจองห้องพักล่วงหน้าในทวีปเอเชียเติบโตมากกว่า 10% นำโดยโรงแรมในประเทศไทย และโรงแรมในบาหลี ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมีโรงแรมภายไต้การบริหารทั้งหมดรวม 561 แห่ง และในอนาคตบริษัทจะเน้นขยายธุรกิจในรูปแบบรับจ้างบริหารเพิ่มขึ้น ซึ่งจะเห็นว่า ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 บริษัทมีสัดส่วนของ Asset Light ที่ 31% และในปี 2569 มีสัดส่วนของ Asset Light ที่ 50%

ขณะเดียวกัน ไมเนอร์ ฟู้ด เตรียมออกแคมเปญใหม่รอบรับในช่วงไตรมาสที่ 4 เพื่อเพิ่มจำนวนลูกค้าที่มารับประทานอาหารที่ร้านและเพิ่มยอดการใช้จ่ายของลูกค้าในช่วงเทศกาล รวมถึงมาตรการการตลาดจากแบรนด์ต่างๆ ในประเทศไทย เช่น สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เล่อร์ และเดอะ พิซซ่า คอมปะนี เพื่อกระตุ้นการมีส่วนร่วมของลูกค้าและเพิ่มยอดการใช้จ่ายโดยเฉลี่ยอีกด้วย

“ภาพรวมรายได้รวมปี 2567 น่าจะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 8-10% จากปีก่อน ที่มีรายได้รวม 153,049.24 ล้านบาท และยังคงเดินหน้าปรับลดอัตราหนี้สินต่อทุนต่อเนื่อง โดยวางเป้าหมายจะให้อยู่ที่ระดับ 0.8 เท่า ภายในสิ้นปี 2567 นี้ จากปัจจุบันอยู่ที่ 0.98 เท่า ด้วยกระแสเงินสดที่มีและแผนการขายสินทรัพย์บางส่วน” นายชัยพัฒน์ กล่าว

นอกจากนี้ แนวโน้มธุรกิจปี 68 เนื่องด้วยประเทศไทยจะมีจำนวนนักท่องเที่ยวสูงถึง 45 ล้านคน ซึ่งสูงกว่าตัวเลขที่รัฐบาลคาดไว้ที่ 39 ล้านคน โดยหนึ่งในปัจจัยหลักมาจาก ความสนใจในโรงแรมของไทยที่เพิ่มขึ้น จากกระแสซีรีส์ยอดนิยมเรื่อง “The White Lotus” ซึ่งมีศิลปินสาวชาวไทยอย่าง “ลิซ่า” (ลลิษา มโนบาล) สมาชิกวง Blackpink ร่วมแสดงด้วย ซึ่งใช้โลเคชั่นโรงแรมในเครือของ Minor Hotel หลายแห่ง ทำให้ทางบริษัทฯ ตั้งเป้ากำไรเติบโตสองหลักและคาดว่าจะลดหนี้สินโดยรวมลงครึ่งหนึ่งในปี 68 ขณะที่การปรับลดดอกเบี้ยของ BOT จะส่งผลดีต่อธุรกิจโรงแรมอีกด้วยเช่นเดียวกัน

โดยหลังจากนี้บริษัทฯตั้งเป้าลดสัดส่วนหนี้สินให้ต่อเนื่อง โดย MINT มีโครงการปลดล็อคกระแสเงินสด ด้วยการออก “กองรีท” ซึ่งคาดน่าจะใหญ่ที่สุดในเอเชีย จะเกิดขึ้นภายใน  12-18 เดือนข้างหน้า จุดประสงค์เพื่อลดการผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนได้  ด้วยมูลค่า 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์ (คิดเป็นเงินไทยประมาณ  4.8 หมื่นล้านบาท) อีกทั้งยังลดความผันผวนให้ PNL ของบริษัทได้อีกด้วย

COMPANY SNAPSHOT

Back to top button