ม.หอการค้าฯ เตือน “ทรัมป์ 2.0” ฉุด “ส่งออกไทย” กด GDP ลด 0.87%
ม.หอการค้าฯ ประเมินนโยบาย “ทรัมป์ 2.0” กระทบส่งออกไทย คาด GDP ลด 0.87% เตือนรัฐบาลเร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดึง GDP ปีหน้าให้โตกว่า 3%
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (20 พ.ย.67) นายวิเชียร แก้วสมบัติ ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ผลกระทบของนโยบายนายโดนัลด์ ทรัมป์ สมัยที่ 2 หรือ “ทรัมป์ 2.0” ต่อ ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ หรือ จีดีพี (GDP) ของไทย จากการลดลงของมูลค่าการส่งออก ทั้งทางตรงและทางอ้อม อาจทำให้ การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัวลงบางส่วน
ศูนย์พยากรณ์ฯ คาดว่า นโยบาย “ทรัมป์ 2.0” จะมีผลกระทบต่อ GDP ไทย ลดลง 0.87% คิดเป็นมูลค่ารวมลดลง 160,472 ล้านบาท แบ่งเป็น ผลกระทบทางตรง ค่าเงินบาท มีแนวโน้มอ่อนค่า เนื่องจากนโยบายกีดกันทางการค้า และการปรับเพิ่มภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ อาจส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่า ขณะที่การส่งออกของไทยไปยังตลาดสหรัฐฯ อาจลดลง 3,106 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 108,714 ล้านบาท คิดเป็น -1.03% ต่อการส่งออกรวม และ -0.59% ต่อ GDP
สินค้ากลุ่มที่ได้รับผลกระทบสูง ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้า, เครื่องจักรกล, อาหารแปรรูปและเครื่องดื่ม, ยานพาหนะ ยางและผลิตภัณฑ์ยาง เนื่องจากอัตราภาษีนำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงการลงทุนโดยตรงจากสหรัฐฯ มีแนวโน้มลดลงเนื่อง จากนโยบาย “อเมริกาต้องมาก่อน” และการสนับสนุนให้ย้ายฐานการผลิตกลับสหรัฐฯ ทำให้แรงจูงใจในการลงทุนในไทยลดลง
ส่วนผลกระทบทางอ้อม มองว่า การส่งออกวัตถุดิบในห่วงโซ่อุปทานจีน-สหรัฐฯ การขึ้นภาษีสินค้าจีนเป็น 60% อาจทำให้ไทยสูญเสียมูลค่าการส่งออกวัตถุดิบที่เชื่อมโยงกับจีนไปกว่า 1,403 ล้านดอลลาร์ฯ หรือประมาณ 49,105 ล้านบาท คิดเป็น -0.46% ของการส่งออกรวม และ -0.27% ของ GDP
นอกจากนี้ การส่งออกวัตถุดิบในห่วงโซ่อุปทานสหรัฐฯ-จีน หากจีนมีการตอบโต้ด้วยการเก็บภาษีสินค้าจากสหรัฐฯ วัตถุดิบไทยที่เชื่อมโยงกับการส่งออกของสหรัฐฯ ไปจีนอาจลดลงอีก 75.8 ล้านดอลลาร์ฯ หรือประมาณ 2,653 ล้านบาท คิดเป็น -0.03% ของการส่งออกรวม และ -0.01% ของ GDP
และการทะลักของสินค้าจีนเข้าสู่ตลาดไทย จากนโยบายขึ้นภาษีของสหรัฐฯ ทำให้จีนอาจจำเป็นต้องหาตลาดใหม่ ซึ่งอาจส่งผลให้สินค้าจีนเข้ามาตีตลาดไทยมากขึ้น โดยเฉพาะสินค้าเครื่องจักรกล เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า โลหะ และสิ่งทอ
นายวิเชียร กล่าวว่า อย่างไรก็ดีไทยยังมีโอกาสส่งออกสินค้าเพื่อทดแทนสินค้าจีนในตลาดสหรัฐฯ โดยมีโอกาสขยายส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ แทนสินค้าจีน โดยเฉพาะในหมวดเครื่องจักรกล เครื่องใช้ไฟฟ้า ยางและผลิตภัณฑ์ยาง และของเล่น หากไทยสามารถปรับตัวและขยายการผลิตให้ตอบสนองต่อความต้องการของตลาดได้
ขณะที่ นายพูนทวี ชัยวิจิตมลากูล ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงทิศทางการส่งออกของไทยว่า สำหรับไตรมาส 4/67 คาดว่าเศรษฐกิจประเทศคู่ค้ามีแนวโน้มชะลอตัว หรือฟื้นตัวช้าลง โดยปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้การส่งออกไตรมาส 4/67 ชะลอตัว คือ การชะลอตัวทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีน การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ช้าลงของยุโรป และอาเซียน ค่าเงินบาทที่ผันผวน และปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ
ส่วนปัจจัยสนับสนุนการส่งออกไตรมาส 4/67 ได้แก่ อัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัวในประเทศต่างๆทำให้หลายประเทศลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งส่งผลดีต่อการบริโภค และการลงทุนของประเทศต่าง ๆ สำหรับสินค้าส่งออกหลักที่ขับเคลื่อนการส่งออกไตรมาส 4/67 เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยางและผลิตภัณฑ์ยาง ทองคำ เครื่องจักรกล อาหารและเครื่องดื่ม และอัญมณี
ตลาดหลักที่ขับเคลื่อนการส่งออกไทยไตรมาส 4/67 คือ สหรัฐฯ อาเซียน สหภาพยุโรป อินเดีย และออสเตรเลีย ดังนั้นคาดการณ์ว่า การส่งออกในไตรมาส 4/67 จะขยายตัว 1.20% จากปีก่อน โดยช่วงคาดการณ์อยู่ที่ 0.12-2.21% มูลค่า 71,055 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คาดว่า ภาพรวมการส่งออกไทยทั้งปี 2567 จะขยายตัวที่ 3.21% (กรอบ 2.95-3.46%) หรือมีมูลค่า 294,231 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กรอบ 293,474 – 294,945 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
สำหรับการส่งออกของไทยปี 2568 คาดการณ์ว่า จะขยายตัวได้ 2.8% กรอบ 2.55-3.03% หรือคิดเป็นมูลค่า 302,477 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ กรอบ 301,741 – 303,213 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้การส่งออกปี 2568 เติบโต ได้แก่ เศรษฐกิจโลกและการค้าโลกที่ขยายตัว อัตราเงินเฟ้อชะลอตัว การลดอัตราดอกเบี้ยของประเทศต่าง ๆ และการบริโภคที่ฟื้นตัวในหลายประเทศ
ขณะที่ยังมีปัจจัยเสี่ยง คือ นโยบายขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ และการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และจีน ส่วนสินค้าส่งออกหลักที่ขับเคลื่อนการส่งออกไทยปี 2568 เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยางและผลิตภัณฑ์ยาง เครื่องจักรกล ผลไม้สด แช่แข็ง และอัญมณี
โดยตลาดหลักที่ขับเคลื่อนการส่งออกไทยปีหน้า ยังคงเป็น สหรัฐฯ อาเซียน ยุโรป อินเดีย และออสเตรเลีย อย่างไรก็ดี ประเทศไทยเสี่ยงถูกเก็บภาษีนำเข้าจากสหรัฐฯ จากเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงเป็นอันดับ 9 ซึ่งถ้าสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าจากไทย 10% และ 60% กับจีน อาจะทำให้การส่งออกไทยปี 2568 จะขยายตัวได้ 1.24% แต่ถ้ากรณีที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าจากไทย 15% และ 60% กับจีน การส่งออกไทยปี 2568 จะขยายตัวได้เหลือเพียง 0.72%
ด้าน นายธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลจะแจกเงิน 10,000 บาท ให้ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปีขึ้น ช่วงก่อนเทศกาลตรุษจีน 2568 ว่า เห็นว่ามาตรการที่ออกมานี้รัฐบาลเริ่มใช้เงินสอดคล้องกับความเห็นที่หลายภาคส่วนแนะนำ คือช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง โดยไม่ได้ใช้เงิน 3 แสนล้านบาทเต็มจำนวน แต่สงวนการใช้งบประมาณแผ่นดินและเปิดพื้นที่ของการใช้เงิน เพื่อป้องกันการเกิดเหตุฉุกเฉิน เช่น สงครามทางการค้า ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ดังนั้นจึงมองว่าเป็นนโยบายที่ดี
นายธนวรรธน์ มองว่า เศรษฐกิจไทยช่วงปลายปีนี้จะถูกกระตุ้นด้วยภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวเป็นหลัก เชื่อว่าบรรยากาศเข้าสู่ปีใหม่หรือไตรมาส 4/67 เศรษฐกิจไทย จะดีกว่าไตรมาส 3/67
อย่างไรก็ตามก่อนที่ไทยจะเจอปัจจัยภายนอก เช่น ผลกระทบจากปัญหาสงคราม มองว่า รัฐบาลควรทำให้เศรษฐกิจไทยให้แข็งแรงก่อน ควรมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นต่อเนื่อง เช่น มาตรการ Easy E-receipt ซึ่งจะสามารถอัดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจได้อย่างน้อย 30,000 ล้านบาท ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงปีใหม่ได้
ส่วนของผลของมาตรการแจกเงินสดผู้สูงอายุนั้น ต้องดูว่าผู้สูงอายุจะใช้เงินมากน้อยเท่าไร คาดว่าเงินจะหมุนในช่วงแรก หรือช่วงตรุษจีนประมาณ 60% ของวงเงิน อย่างน้อย 20,000-30,000 ล้านบาท น่าจะพยุงเศรษฐกิจได้ ประกอบกับมาตรการแก้หนี้พักชำระดอกเบี้ย 3 ปี และมาตรการช่วยเหลือภาคเกษตรที่จะออกมานั้น โดยรวมแล้วน่าจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้
“รัฐบาลควรจะทำให้เศรษฐกิจไทยปีหน้าโตเกิน 3% ให้ได้ เพื่อสร้างโมเมนตัมให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้เด่น เพื่อให้คนไทยลืมตาปากได้ทั่วประเทศเพราะการฟื้นยังฟื้นไม่ครอบคลุม และทำให้ประเทศไทยมีเสน่ห์มากขึ้น เพราะประเทศอื่น ๆ เศรษฐกิจโตเกิน 4% หมดแล้ว เพราะฉะนั้นควรสร้างเสน่ห์ให้ไทยกลับมา” ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ กล่าวทิ้งท้าย