UOB แนะ 2 กลยุทธ์ลงทุน “หุ้นสหรัฐฯ-ตราสารหนี้” หลัง “ทรัมป์” คว้าชัยชนะ

UOB มองหลัง “ทรัมป์” คว้าชัย จับตา“เงินเฟ้อ-ยิลด์” ชี้ 2 กลยุทธ์ลงทุนรับ รัฐบาลชุดใหม่สหรัฐ ในต้นปี 68 เน้นกระจายการลงทุนสร้างความยืดหยุ่น-พิจารณาสินทรัพย์ที่ผันผวนต่ำ


นายกิดอน เจอโรม เคสเซล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ผลิตภัณฑ์เงินฝากและบริหารการลงทุนบุคคลธนกิจ ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย (UOB) เปิดเผยข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นกับพอร์ตการลงทุน หลังจากที่นาย โดนัลด์ ทรัมป์ตัวแทนจากพรรครีพับลิกันชนะการเลือกตั้งและดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของสหรัฐฯ โดยระบุว่าตลาดการเงินและพอร์ตการลงทุนอาจเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงเมื่อมีการประกาศแนวนโยบายของสหรัฐฯ โดยปฏิกิริยาของตลาดในเบื้องต้นหลังการเลือกตั้งมีแนวโน้มเป็นบวก ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่เพิ่มขึ้น และมูลค่าของสกุลเงินดิจิทัลที่ปรับตัวสูงขึ้น

ขณะที่ ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลงในระยะสั้น เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับภาษี ทั้งนี้ หากรัฐสภาใหม่ยังคงนำโดยพรรครีพับลิกัน ความไม่แน่นอนด้านนโยบายและการกำกับดูแลในอนาคตอาจนำไปสู่ความผันผวนของตลาด

โดย ยูโอบี ระบุถึงผลกระทบของการเลือกตั้งสหรัฐครั้งล่าสุด ต่อตลาดและการลงทุน มีดังนี้  1. แนวโน้มภาพรวมของตลาด: แม้ว่าปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและผลประกอบการของบริษัทที่แข็งแกร่งทำให้ตลาดตอบสนองในเชิงบวก นักลงทุนยังคงควรเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงนโยบายด้านการค้า อัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่อาจเกิดขึ้น คาดว่านโยบายของทรัมป์จะยังคงเน้นการลดภาษีและการลดการกำกับดูแล ซึ่งอาจกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ แต่อาจทำให้เกิดความผันผวนในตลาดในระยะสั้นได้

  1. หุ้นสหรัฐฯ: ภายใต้กลยุทธ์ “อเมริกาต้องมาก่อน (America First)” นโยบายต่างประเทศของทรัมป์คาดว่าจะช่วยสนับสนุนบางภาคส่วน เช่น การเงิน อุตสาหกรรม การผลิต และพลังงาน อย่างไรก็ตาม กลุ่มธุรกิจพลังงานหมุนเวียนอาจได้รับผลกระทบ หากมีการยกเลิกกฎหมายลดเงินเฟ้อ (Inflation Reduction Act) ในขณะเดียวกัน ภาษีที่สูงขึ้นและนโยบายตรวจคนเข้าเมืองที่เข้มงวดขึ้นอาจกระทบต่อการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ จากอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น
  2. ตราสารหนี้และอัตราดอกเบี้ย: นโยบายการปรับลดภาษีและแนวโน้มการใช้จ่ายของรัฐบาลที่เพิ่มขึ้นอาจกดดันต่อการขาดดุลการคลังที่สูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลทำให้กระทรวงการคลังต้องออกพันธบัตรรัฐบาลเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าในระยะสั้นพันธบัตรอาจเผชิญแรงกดดันจากการขาย แต่ตราสารหนี้ที่มีคุณภาพมีอัตราผลตอบแทน(yield) ที่ยังคงมีความน่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีการลดอัตราดอกเบี้ย
  3. ผลกระทบระหว่างประเทศ: เศรษฐกิจจีนอาจได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีที่ทรัมป์เสนอ ซึ่งอาจทำให้รัฐบาลจีนต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ขณะเดียวกัน หุ้นในอาเซียนและเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) อาจได้รับประโยชน์จากการย้ายห่วงโซ่อุปทาน หากความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงเพิ่มขึ้น

ในส่วนของกลยุทธ์การลงทุนในรัฐบาลใหม่ของทรัมป์ คือ (1) การเน้นกระจายการลงทุนและสร้างความยืดหยุ่น: นักลงทุนควรมีพอร์ตการลงทุนที่หลากหลายเพื่อบริหารความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายของทรัมป์ การเติบโตทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและผลประกอบการที่มั่นคงสนับสนุนแนวโน้มเชิงบวกในตลาดหุ้น แต่นักลงทุนควรมีความยืดหยุ่นเพื่อรับมือกับการลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อบริหารความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น

(2) พิจารณาสินทรัพย์ที่มีความผันผวนต่ำ (defensive assets): ตราสารหนี้ที่มีคุณภาพสูงและศักยภาพในการสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอเหมาะสำหรับพอร์ตการลงทุนที่เน้นความมั่นคง นอกจากนี้ หุ้นในอาเซียนและเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) ที่มีระดับมูลค่าและอัตราเงินปันผลที่น่าสนใจยังคงเป็นโอกาสในการลงทุนที่ดีในสภาวะการเปลี่ยนแปลงการค้าระหว่างประเทศ

Back to top button