DITTO ปักธง Q4 ยื่นไฟลิ่ง ก.ล.ต. ออกโทเคนดิจิทัล “คาร์บอนเครดิต” ตุนแบ็กล็อก 4.7 พันล้าน
DITTO ส่งซิกไตรมาส 4/67 เตรียมยื่นไฟลิ่งก.ล.ต. หลังขึ้นทะเบียน Standard: T-VER และ Premium T-VER เรียบร้อยแล้ว พร้อมออกโทเคนดิจิทัลลงทุน “คาร์บอนเครดิต” ตุนแบ็กล็อกแตะ 4.7 พันล้านบาท
นายฐกร รัตนกมลพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดิทโต้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DITTO ข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 25 พ.ย.67 ว่าผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกปี 67 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 368.14 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.36% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 269.97 ล้านบาท ขณะที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,828.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน 1,409.69 ล้านบาท เป็นผลมารายได้ที่เติบโตขึ้น จากธุรกิจรับเหมาวิศวกรรมด้านเทคโนโลยีสำหรับโครงการก่อสร้างสวนสัตว์แห่งใหม่ ระยะที่ 1 คลองหก และโครงการของหน่วยงานราชการต่างๆ และให้บริการระบบบริหารจัดการเอกสาร และระบบการรักษาความปลอดภัยทางด้านไซเบอร์ที่มีการขยายการให้บริการแก่กลุ่มลูกค้าเพิ่มมากขึ้นทั้งหน่วยงานภาครัฐและเอกชน
สำหรับโครงการปลูกป่าชายเลนเพื่อคาร์บอนเครดิตมีทั้งหมด 175,354.25 ไร่ แบ่งเป็นโครงการชุมชน 154,838.02 ไร่ และการปลูกป่าใหม่ทดแทน 20,516.23 ไร่ ซึ่งปัจจุบันมีการขึ้นทะเบียนใน Premium T-VER อยู่ที่ 1,749.96 ไร่ และขึ้นทะเบียน Standard T-VER อยู่ที่ 16,521.19 ไร่ รวมทั้งหมดขึ้นทะเบียนเป็นจำนวน 18,271.15 ไร่
โดยหลังจากขึ้นทะเบียน Standard T-VER และ Premium T-VER เรียบร้อยแล้ว บริษัทเตรียมยื่นไฟลิ่งต่อก.ล.ต. ภายในไตรมาส 4/67 และจะออกโทเคนคาร์บอนเครดิตในพอร์ทัล ICO เป็นโทเค็น X ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ป่าชายเลน 17,531.04 ไร่ เมื่อได้ปริมาณเหรียญครบถ้วน จะดำเนินการกำหนดราคาและพิจารณาความเสี่ยงรวมถึงผลตอบแทน โดยมีหน่วยงานกลาง VVB มาทำการตรวจสอบและยืนยันข้อมูล (Verify) สำหรับกระบวนการนี้
สำหรับการออกโทเคนจะถูกนำไปใช้ในการพัฒนาและดูแลโครงการปลูกป่าชายเลน รวมถึงการส่งเสริมการเติบโตของกลุ่มชุมชน ส่วนธุรกิจคาร์บอนเครดิตในอนาคตบริษัทมีแผนขยายพื้นที่ปลูกป่าชายเลนหรือระบบนิเวศที่เกี่ยวข้องกับคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการปรับปรุงและปรับค่าใหม่
ขณะที่ปัจจุบันบริษัทมีงานในมือ (Backlog) อยู่ที่ 4,658 ล้านบาท แบ่งเป็นงานโซลูชันการจัดการข้อมูลและเอกสารอยู่ที่ 2,075 ล้านบาท อีกทั้งนวัตกรรมเทคโนโลยีและโครงการวิศวกรรมอยู่ที่ 2,583 ล้านบาท คาดการณ์จะทยอยรับรู้รายได้ไปจนถึงปี 70 ซึ่งโครงการดังกล่าวคาดจะมีการสิ้นอายุสัญญาภายในปี 68