“ทองนิวยอร์ก” ปิดร่วง 93.70 เหรียญ หลัง “อิสราเอล-ฮิซบอลเลาะห์” บรรลุข้อตกลงหยุดยิง

ทองคำตลาดนิวยอร์ก ปิดร่วง 3.45% แตะ 2,618.50 ดอลลาร์/ออนซ์ นักลงทุนแห่เทขายสินทรัพย์ปลอดภัย หลังมีข่าว “อิสราเอล-ฮิซบอลเลาะห์” บรรลุข้อตกลงหยุดยิง


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 90 ดอลลาร์ในวันจันทร์ (25 พ.ย.67) โดยตลาดถูกกดดันจากการที่นักลงทุนเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากสื่อรายงานข่าวว่าอิสราเอลบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ รวมทั้งการที่โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เสนอชื่อสก็อตต์ เบสเซนต์ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังคนใหม่ของสหรัฐฯ

สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ลดลง 93.70 ดอลลาร์ หรือ 3.45% ปิดที่ 2,618.50 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาโลหะเงินส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 1.115 ดอลลาร์ หรือ 3.51% ปิดที่ 30.661 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพลาตินัมส่งมอบเดือนม.ค. ลดลง 30.60 ดอลลาร์ หรือ 3.14% ปิดที่ 944.50 ดอลลาร์/ออนซ์

สัญญาพัลลาเดียมส่งมอบเดือนมี.ค. ลดลง 35.00 ดอลลาร์ หรือ 3.41% ปิดที่ 990.50 ดอลลาร์/ออนซ์

นักลงทุนเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากสื่อหลายแห่งรายงานข่าวเกี่ยวกับการบรรลุข้อตกลงหยุดหยิงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์

สำนักข่าว Axios รายงานโดยอ้างแหล่งข่าวว่า อิสราเอลและเลบานอนได้บรรลุข้อตกลงชั่วคราวเกี่ยวกับเงื่อนไขในการหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ พร้อมกับเปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีสงครามของอิสราเอลจะพิจารณาข้อตกลงดังกล่าวในวันนี้ (26 พ.ย.)

ขณะที่สำนักข่าว Kan TV ของทางการอิสราเอลรายงานว่า การประกาศข้อตกลงหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและเลบานอนอาจมีขึ้นในสัปดาห์นี้ และสำนักข่าว CNN รายงานว่า เบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ได้อนุมัติข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์แล้ว แต่อิสราเอลยังคงต้องการเจรจาในรายละเอียดบางประการ

นอกจากนี้ การที่ทรัมป์เสนอชื่อสก็อตต์ เบสเซนต์ ผู้ก่อตั้งกองทุนเฮดจ์ฟันด์ คีย์สแควร์ กรุ๊ป (Key Square Group) ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง ยังทำให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับการทำสงครามการค้าของสหรัฐฯ และพากันเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย โดยนักลงทุนมองว่า เบสเซนต์จะดำเนินมาตรการที่เอื้อต่อตลาดหุ้น และจะทำให้เศรษฐกิจและตลาดการเงินของสหรัฐฯ มีเสถียรภาพมากขึ้น

ด้านนักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ของสหรัฐฯ ในวันพุธนี้ โดยดัชนี PCE เป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ให้ความสำคัญ เนื่องจากสามารถตรวจจับการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของผู้บริโภค และครอบคลุมราคาสินค้าและบริการในวงกว้างมากกว่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)

นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนี PCE ทั่วไป (Headline PCE) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะปรับตัวขึ้น 2.3% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.1% ในเดือนก.ย. และคาดว่าดัชนี PCE พื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่นับรวมหมวดอาหารและพลังงาน จะปรับตัวขึ้น 2.8% ในเดือนต.ค. เมื่อเทียบรายปี หลังจากที่เพิ่มขึ้น 2.7% ในเดือนก.ย.

Back to top button