SMD100 ปรับโครงสร้างใหญ่! จ่อเปลี่ยนชื่อ พ่วงรีแบรนด์ดิ้งธุรกิจ “บริการสุขภาพ” มิติใหม่
“เซนต์เมด” ปรับโครงสร้างใหญ่! จ่อเคาะเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น “SMD rise” 8 ม.ค.ปีหน้า พร้อมรีแบรนด์ดิ้งธุรกิจยกระดับระบบให้บริการสุขภาพสู่มิติใหม่
ดร.วิโรจน์ วสุศุทธิกุลกานต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซนต์เมด จำกัด (มหาชน) หรือ SMD100 เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 25 พ.ย. 67 ว่าผลประกอบการไตรมาส 3/67 มีรายได้จากการขายและบริการรวม 252.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.91% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 182.93 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายสินค้าที่เพิ่มขึ้นจากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐประจำปี 2567 และมีกำไรสุทธิ 29.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 137.58% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 12.24 ล้านบาท
ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 67 มีรายได้จากการขายและบริการรวม 571.27 ล้านบาท ลดลง 1.71% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 581.23 ล้านบาท จากการเพิ่มขึ้นของคู่แข่งทำให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงด้านราคา และมีกำไรสุทธิ 23.91 ล้านบาท ลดลง 51.09% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 48.88 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทมีรายได้อื่นที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วย ดอกเบี้ยรับ, ดอกเบี้ยจากการให้เช่าทรัพย์สินเพิ่มขึ้น ในไตรมาส 3/67 มีรายได้อื่น 1.28 ล้านบาท ลดลง 4.48% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 1.34 ล้านบาท ขณะงวด 9 เดือนแรกของปี 67มีรายได้อื่น 5.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 4.46 ล้านบาท
สำหรับเหตุการณ์สำคัญในไตรมาส 3/67 บริษัทได้เปลี่ยนชื่อหลักทรัพย์จาก “SMD” เป็น “SMD100” ซึ่งได้ผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 13 พ.ย.67 นอกจากบริษัทยังมีแผนจะเปลี่ยนชื่อจาก “เซนต์เมด” เป็น “SMD rise” โดยผ่านการพิจารณาเห็นชอบจากคณะกรรมการบริษัทเรียบร้อย อยู่ระหว่างเรียกประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ในวันที่ 8 ม.ค.68 เวลา 10.00-12.00 น. ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์
บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ครั้งใหญ่ เปลี่ยนนโยบายจากมุ่งเน้นหารายได้จากธุรกิจเทรดดิ้ง เป็นมุ่งเน้นหารายได้จากธุรกิจที่สร้างรายได้ที่ต่อเนื่อง ในรูปแบบให้เช่าใช้เครื่องมือ (Rental) เช่าซื้อเครื่องมือแพทย์ (Hire Purchase) และ/หรือ เก็บส่วนแบ่งรายได้จากคู่ค้าแทนการขายขาด โดยร่วมมือกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่าง ๆ เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้ที่จำเป็นต้องใช้เครื่องมืออุปกรณ์ทางการแพทย์ สามารถเข้าถึงเครื่องมือทางการแพทย์ได้อย่างทั่วถึงมากขึ้น สร้างประโยชน์ให้ทุกฝ่ายอย่างยั่งยืนร่วมกัน
ทั้งนี้ บริษัทได้ขยายธุรกิจเครื่องมือแพทย์เฉพาะทางด้านเวลเนส (Wellness) เพื่อตอบโจทย์เทรนด์การท่องเที่ยวทางการแพทย์(Medical Tourism) และการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันมากขึ้น รวมถึงลงนามสัญญาเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวของระบบ AI ตรวจจับมะเร็งปอด (Lung CA)จากภาพ CT ทุกยี่ห้อ
นอกจากนี้ คณะกรรมการบริษัท มีมติเห็นชอบอนุมัติให้บริษัทเข้าเสนอโครงการจัดตั้งศูนย์ฉายแสงรักษามะเร็งด้วยเครื่อง CT/Linc โดยร่วมลงทุนกับโรงพยาบาลของรัฐต่าง ๆ ในรูปแบบ Public Private Partnership (PPP) หรือ Revenue Sharingเป็นโครงการขนาดใหญ่ 3 โครงการ ซึ่งจะได้รับการสนับสนุนจากธนาคารต่าง ๆ จำนวนหนึ่ง และเงินทุนของบริษัทอีกส่วนหนึ่งโดยทั้ง 3 โครงการนี้จะทราบผลการคัดเลือกภายในปี 67
ดร.วิโรจน์ กล่าวอีกว่า ในอนาคตเราไม่ได้ต้องการเป็นบริษัทเครื่องมือชั้นนำในเมืองไทยแล้ว เพราะเรากำลังจะขับเคลื่อนระบบการให้บริการสุขภาพไปสู่มิติใหม่โดยบริษัท SMD rise จำกัด (มหาชน) ที่จะเกิดขึ้นหากผู้ถือหุ้นให้ความเห็นชอบ จะ ประกอบด้วย 4BU คือ 1. SMDX Co., Ltd. 2. SMDI Co., Ltd.3. SMD Genesis Co., Ltd.ธุรกิจหลักดั้งเดิมตัวแทนจำหน่ายเครื่องมือแพทย์และ 4. DaaS Business Unit (Device as a Service)
ทั้งนี้ช่วงหนึ่ง ซีอีโอ บมจ.เซนต์เมด ได้กล่าวขออภัยนักลงทุนเกี่ยวกับการให้ข่าวก่อนหน้านี้เรื่อง ธุรกิจลีสซิ่งหรือการเช่าซื้อทรัพย์สินว่า คือความผิดพลาดครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งในชีวิตตนเอง เพราะต่อไปจะไม่ All-inจะทำบ้างเพื่อรักษาฐานลูกค้าที่สำคัญไว้เท่านั้นเพราะธุรกิจนี้ต้องทำตัวเยี่ยงแบงก์ งบกระแสเงินสดไม่ดี เพราะเงินไม่ค่อยเข้า จึงมองว่าเป็นธุรกิจที่ไม่น่าสนใจแล้ว
แต่ 3 หน่วยธุรกิจที่อยู่ภายใต้ DaaS Business Unit (Device as a Service)ที่ประกอบด้วย 1.บริการโรงพยาบาลเสมือนรองรับการดูแลสุขภาพจากระยะไกลด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย, 2.ให้เช่าเครื่องมือแพทย์สำหรับ OPD, IPD, ER, ICU, Intermediate Care และ ORและ3.ให้เช่าใช้ระบบข้อมูลทางการแพทย์เฉพาะทางด้านเวชบำบัดวิกฤต“มีโอกาสฟลุ๊ค2-5 เท่า”
ทั้งนี้ ดร.วิโรจน์ ย้ำสโลแกนใหม่ของบริษัทหลายครั้งว่า “Advancing Healthcare into a New Dimension, Turning a Man into a Superman, Transforming Dying into Living”