ผู้ถือหุ้นรายย่อย TOP บุกร้อง DSI สอบ “บอร์ดบริหาร” ปมเลือก UJV ทำโครงการ CFP เสียหาย

หนึ่งในผู้ถือหุ้นรายย่อย บมจ.ไทยออยล์ บุกร้องอธิบดีดีเอสไอ ขอให้ตรวจสอบบอร์ดบริหาร TOP คัดเลือกกลุ่มกิจการร่วมค้า UJV ทำโครงการพลังงานสะอาด CFP แต่ค้างจ่ายค่าแรงผู้รับเหมาช่วง หวั่นสร้างความเสียหายหลักแสนล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (27 พ.ย.67) นายชัชนัย ปานเพชร ในฐานะเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและเป็นผู้ถือหุ้น บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP เดินทางมายื่นหนังสือถึง พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) โดยมี พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ เป็นผู้รับหนังสือแทน เพื่อร้องทุกข์ กล่าวโทษ ดำเนินการสืบสวน สอบสวน คณะกรรมการ ผู้บริหาร บมจ.ไทยออยล์ และ กลุ่มบุคคลที่ร่วมกันกระทำความผิด ตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องจากกรณีโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project หรือ CFP) อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี

โดย นายชัชนัย เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ว่า อยากให้ดีเอสไอตรวจสอบว่า บอร์ดบริหารดำเนินการโดยชอบหรือไม่ ในเรื่องการคัดเลือกผู้รับเหมาหลัก (Main Contractor) โครงการพลังงานสะอาด CFP คือกิจการร่วมค้า UJV ซึ่งเป็นบริษัทจากต่างประเทศทั้ง 3 บริษัท และไม่มีสำนักงานในประเทศไทย คุณสมบัติครบถ้วนถูกต้องหรือไม่ และยังไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในโครงการนี้

ส่วน กิจการร่วมค้า UJV ที่ประกอบด้วย Samsung E&A (Thailand) Co.,Ltd., Petrofac South East Asia Pte.Ltd และ Saipem Singapore Pte.,Ltd. นั้น ข้องใจบริษัทใดเป็นพิเศษหรือไม่ นายชัชนัย กล่าวว่า มี 2 บริษัท ส่วนอีกบริษัทหนึ่งเห็นว่ายังบริหารจัดการได้ดี แต่ถ้าแบกรับภาระต่อไปอาจจะกระทบหรือมีปัญหาในอนาคตได้

“เราเลือกลงทุนเพราะบริษัทมีความน่าเชื่อถือและโครงการนี้สามารถทำกำไรได้มาก เหมาะแก่การลงทุนในระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว แต่เมื่อโครงการนี้ประสบปัญหา ไม่สามารถดำเนินการให้แล้วเสร็จและส่งมอบงานได้ทัน ทั้งผู้รับเหมาช่วงกับผู้รับเหมาหลัก มันก็จะเกิดผลกระทบเป็นวงกว้างมากขึ้นสำหรับผู้ถือหุ้นรายย่อยซึ่งไม่ทราบข่าวเลย ก็ถ้ามีอะไรที่ชัดเจนมากขึ้น ก็จะเป็นการประกอบการตัดสินใจของนักลงทุน” นายชัชนัย กล่าว

ด้าน พ.ต.ต.วรณัน โฆษกดีเอสไอ กล่าวว่า จากการซักถามเบื้องต้นเป็นกรณีที่ทางผู้ร้องเห็นว่า บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีการดำเนินกิจกรรมที่สงสัยเข้าข่ายเป็นความผิด จึงมาขอให้ทางดีเอสไอตรวจสอบ ซึ่งดีเอสไอมีหน้าที่ดูแลเรื่อง พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ฯ วันนี้กองบริหารคดีพิเศษได้รับเรื่องไว้แล้วก็จะประมวลเรื่องเสนออธิบดีดีเอสไอต่อไป โดยหน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์ฯ คือ กองคดีการเงินการธนาคารและการฟอกเงิน ในชั้นต้นต้องตรวจสอบก่อนว่า กรณีเหตุสงสัยนี้เป็นคดีอาญาหรือไม่ และเป็นเรื่องที่อยู่ในอำนาจหน้าที่ของดีเอสไอหรือไม่ เป็นเรื่องที่จะต้องรีบพิจารณา

ทั้งนี้เนื้อหาในหนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษฯ ของ นายชัชนัย ปานเพชร ที่ส่งถึง พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ระบุดังนี้

ข้าพเจ้านายชัชนัย ปานเพชร ในฐานะเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียและเป็นผู้ถือหุ้นของ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) ได้พบเห็นการบริหารงานที่ไม่ชอบมาพากลของกรรมการ และผู้บริหารของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) ในการดำเนินโครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project หรือ CFP) และอาจมีกลุ่มบุคคลที่ร่วมกันกระทำความผิด ตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ทำให้ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง จึงได้ทำหนังสือ กราบเรียนต่อท่านอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และท่านประธาน

คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อร้องทุกข์ กล่าวโทษนำผู้กระทำความผิดทั้งทางแพ่งและอาญามาลงโทษ โดยได้โปรดดำเนินการสืบสวน / สอบสวน ตามอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้

ตามที่บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) ได้เข้าลงทุนในโครงการพลังงานสะอาด (CFP) ในเดือนสิงหาคม 2561 มีมูลค่าโครงการประมาณ 4,825 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 159,225 ล้านบาทไทย ประมาณการดอกเบี้ยระหว่างการก่อสร้างขณะนั้นอยู่ที่ 151 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 4,983 ล้านบาท ระยะเวลาดำเนินการ 5 ปี เพื่อลดต้นทุนการผลิตให้ต่ำลงและยังเพื่อความยืดหยุ่นในการรับน้ำมันดิบ ทำให้โรงกลั่นน้ำมันไทยออยล์สามารถเพิ่มสัดส่วนการกลั่นน้ำมัน (Heavy Crude) ได้มากขึ้นร้อยละ 40-50 โดยการเปลี่ยนน้ำมันเตาให้เป็นน้ำมันอากาศยานและน้ำมันดีเซล และได้มีการเปิดประมูลประกวดราคาผู้รับจ้างเหมาออกแบบวิศวกรรม การจัดหา และการก่อสร้าง (EPC: Engineering, Procurement and Construction ของโครงการ CFP แต่จนถึงปัจจุบันไม่สามารถส่งมอบงานได้ภายในเวลาที่กำหนดตามสัญญาและไม่สามารถดำเนินการก่อสร้างได้อีกต่อไป เพราะติดปัญหาและอุปสรรคอื่น ๆ อีก

ผลการประกวดราคา ปรากฏว่า บริษัท 1. Petrofac International (UAE) LLC, 2. Samsung Engineering Co.Ltd., และ 3. Saipem S.P.A. ได้รับการคัดเลือกและได้ทำสัญญาจ้าง EPC ดังกล่าวกับ ไทยออยล์ และได้เริ่มดำเนินการโครงการเรื่อยมา

กระทั่งในปัจจุบัน ปรากฏว่า กลุ่มบริษัทผู้รับเหมาช่วงจาก UJV-Samsung, Petrofac และ Saipem จำนวน 28 บริษัท ตัดสินใจระงับการดำเนินงานก่อสร้าง เนื่องจากยังไม่ได้รับชำระค่าตอบแทนตามสัญญา นานถึง 8 เดือน เป็นเงินกว่า 6,000 ล้านบาท จนเป็นเหตุทำให้บรัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) ได้รับความเสียหายตามที่ปรากฏเป็นข่าวอยู่ ณ ปัจจุบัน

ข้าฯ ในฐานะผู้ถือหุ้นของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) ได้ติดตามข่าวและตรวจสอบข้อมูล พบว่า

1.โครงการพลังงานสะอาด (Clean Fuel Project หรือ CFP) ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) เป็นโครงการที่มีมูลค่าการลงทุนถึง 4,825 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่กลับใช้ขบวนการผลิต หรือเทคโนโลยี LC-Max ซึ่งเป็นเจ้าแรกของโลก ทำให้ไม่มีการศึกษาและประเมินผลก่อนดำเนินโครงการ ต้นทุนในการกลั่นน้ำมันก็ยังไม่สามารถพิสูจน์ถึงความคุ้มค่าในเชิงพาณิชย์อย่างเป็นรูปธรรมได้ เนื่องจากยังไม่เคยมีโรงกลั่นใดในโลกใช้มาก่อนในรูปแบบเดียวกัน ณ วันที่ตัดสินใจพิจารณาอนุมัติโครงการ จึงไม่มีข้อมูลอ้างอิงจากโรงกลั่นอื่น ๆ กล่าวโดยสรุปเปนป็็นโครงการที่ไม่ควรเสี่ยงต่อการลงทุน เพราะใช้เทคโนโลยีที่ใหม่ ไม่มีผลการศึกษาและผลประกอบในเชิงพาณิชย์มาเป็นเครื่องยืนยันความเป็นไปได้ของโครงการอย่างแน่นอน ต้องถือว่า เป็นความผิดชัดเจนของกรรมการและผู้บริหารในการตัดสินใจผิด ลงทุนขนาดใหญ่ในโครงการนี้ โดยก่อนการตัดสินใจลงทุนควรจะศึกษาผลสำรวจของโครงการที่ลงทุนให้ชัดเจนรอบคอบเสียก่อน และจนถึงปัจจุบันนี้ค่อนข้างชัดเจนว่า โครงการล้มเหลว ยากที่จะดำเนินการต่อให้สำเร็จ และถ้าฝืนดำเนินการต่ออาจต้องใส่เม็ดเงินลงทุนมากขึ้นอีกเท่าตัว ซึ่งตัวเลขอาจแตะถึง 300,000ล้านบาท และไม่สามารถรับประกันความสำเร็จของโครงการได้เลย และคงไม่มีสถาบันการเงินใดปล่อยกู้เพิ่มเติมให้อย่างแน่นอน ซึ่งถึงขนาดทำให้ของบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) ล้มละลายได้เลย

2.บริษัทที่ได้รับการคัดเลือกให้เป็นผู้รับจ้างเหมาออกแบบวิศวกรรม การจัดหา และการก่อสร้าง (EPC: Engineering, Procurement และ Construction) ของโครงการ ก็ไม่ได้มาตรฐาน มีทุนจดทะเบียนที่ต่ำไม่เหมาะสมกับมูลค่าโครงการ ไม่มีสำนักงานเป็นหลักแหล่งอยู่ในประเทศไทย หากมีการฟ้องร้องดำเนินคดีไม่สามารถบังคับคดีได้ ซึ่งเป็นการบริหารงานของกรรมการและผู้บริหารงานของ บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) ที่ล้มเหลวมาก ในการดำเนินกิจการตามปกติธุระ และเสียเปรียบผู้รับเหมาอย่างมาก

การที่บอร์ดบริหาร หรือคณะกรรมการบริษัทฯ ได้อนุมัติให้ดำเนินโครงการ โดยไม่ศึกษาในทุกมิติอย่างละเอียด ถึงผลกระทบของความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากปัจจัย ดังต่อไปนี้ให้เหมาะสมกับมูลค่าโครงการ กล่าวคือ

ก) ผลกระทบจากความเป็นไปได้ที่เทคโนโลยีที่นำมาใช้ จะไม่สามารถดำเนินการอย่างเต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากเป็นโรงกลั่นแรกของโลกที่มีการนำเทคโนโลยีแบบนี้มาใช้ในระดับพาณิชย์

ข) ผลกระทบจากการที่ว่าจ้างผู้รับเหมาหลัก ซึ่งไม่มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ในประเทศไทยจะไม่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างสำเร็จลุล่วงตลอดโครงการ ซึ่งเกิดจากวิธีการคัดเลือกบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้าง บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) โดยการแยกกลุ่ม ผู้เข้าร่วม ประมูลโครงการนี้ เป็น 2 กลุ่ม หลัก คือ กลุ่ม A และ กลุ่ม B โดย บริษัท Saipem และบริษัท Petrofac อยู่ในกลุ่ม ผู้รับเหมาหลัก กลุ่ม A และ บริษัท Samsung อยู่ในกลุ่มผู้รับเหมา กลุ่ม B แต่ต่อมาเมื่อได้รับสัญญาโครงการ ปรากฏว่า บริษัท Saipem และ บริษัท Petrofac มีปัญหาทางด้านการเงิน ทำให้เหลือเพียงบริษัท Samsung เท่านั้น ที่ดำเนินการต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้

จากการที่บอร์ดบริหารหรือคณะกรรมการบริษัทฯ ขาดวิสัยทัศน์ และความรอบคอบในการวิเคราะห์ความเสี่ยงของโครงการ ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นทุกมิติ จนเป็นเหตุทำให้บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) ได้รับความเสียหายจนอาจจะล้มละลาย รวมทั้งผู้รับเหมาช่วงที่ได้รับผลกระทบจากระบบคัดเลือกผู้รับเหมาหลัก ที่ไม่ได้มาตรฐาน  ทำให้ผู้รับเหมาช่วงไม่ได้รับชำระค่าตอบแทนตามสัญญาจากบริษัทผู้รับเหมาหลักที่ถูกคัดเลือกมา ทั้งที่บริษัทที่ได้รับการคัดเลือกเหล่านั้นได้รับเงินจากบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) ไปแล้ว เป็นเหตุทำให้ ผู้รับเหมาช่วงตัดสินใจระงับการดำเนินงานก่อสร้าง โครงการจึงไม่สามารถดำเนินการต่อได้ ทำให้บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) ได้รับความเสียหายเป็นอย่างมาก เนื่องจากโครงการที่มีมูลค่าเกือบ 170,000 ล้านบาท ไม่สามารถสร้างเสร็จได้ตามกำหนดในเดือน กุมภาพันธ์ 2568 และยากต่อการเยียวและแก้ไขได้ในภายหลัง

การอนุมัติให้ดำเนินการโครงการดังกล่าวถือว่า เป็นการที่บอร์ดบริหารหรือคณะกรรมการไม่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรับผิดชอบ ขาดความระมัดระวัง และไม่ดูแลปกป้องผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้นรายย่อยที่มีมากกว่า 39,000 ราย จนทำให้บริษัทฯ และผู้ถือหุ้นรายย่อยอาจได้รับความเสียหายมหาศาล ซึ่งจะเป็นความเสียหายวงกว้างกระทบต่อความน่าเชื่อถือของบริษัท อันอาจเป็นเหตุสำคัญถึงบริษัทล้มละลายได้ในเวลาอันรวดเร็ว จากยอดหนี้กู้ยืมสถาบันการเงินมากกว่า 1 แสนล้านบาท นอกจากนี้ยังมีผลต่อความน่าเชื่อถือต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทย

การกระทำดังกล่าวเป็นการเข้าข่ายการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 มาตรา 89/7, มาตรา 89/10, มาตรา 281/2, มาตรา 307, มาตรา 311 และมาตรา 313

ด้วยเหตุที่ได้กราบเรียนต่อท่านอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ และท่านประธานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มีการกระทำที่เข้าข่ายกระทำความผิด ตาม พ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และมีการปกปิดการกระทำความผิด ทำให้องค์กร หรือหน่วยงานของรัฐ และประเทศชาติได้รับความเสียหายหลักแสนล้านบาท หากปล่อยปละละเลยจะสร้างความเสียหายมากกว่านี้อันไม่อาจประเมินค่าได้หรือเยียวยาแก้ไขได้

“ข้าพเจ้าในฐานะผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของบริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) และเป็นผู้เสียหายขอร้องทุกข์ กล่าวโทษ แก่ท่านเพื่อให้ท่านได้โปรดดำเนินการตามอำนาจหน้าที่ สืบสวน สอบสวน คณะกรรมการและผู้บริหาร บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) (TOP) การกระทำความผิดทางอาญาตามที่ได้กล่าวหา ตามพ.ร.บ.หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ.2535, และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องตามอำนาจหน้าที่เพื่อนำผู้กระทำความผิดไม่ว่าจะเป็น ตัวการ ผู้ใช้ ผู้สนับสนุนในการกระทำความผิด และผู้ที่ช่วยเหลือปกปิดข้อเท็จจริงในการกระทำความผิด มาลงโทษตามกฎหมายต่อไปด้วย” หนังสือร้องทุกข์กล่าวโทษฯ ดังกล่าวระบุในตอนท้าย

Back to top button