“ดีเอสไอ” จับมือ “สอบสวนกลาง” เร่งสาง “คดีหมอบุญ” หลอกลงทุนหมื่นล้าน
โฆษกดีเอสไอ เผยประสาน ตำรวจสอบสวนกลาง เร่งสืบสวน “คดีหมอบุญ” หลอกลงทุน ขณะ “อี้ แทนคุณ” เผยหลัง 12 ธ.ค. นี้ ผู้เสียหายจะเข้าแจ้งความเพิ่ม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (27 พ.ย.67) พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ (DSI) เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ถึงกรณีนายแพทย์บุญ วนาสิน อดีตประธานกรรมการและผู้ก่อตั้ง บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG ตกเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 5645/2567 ในข้อหา ร่วมกันฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันให้กู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน, ร่วมกันฉ้อโกงอันมีลักษณะเป็นปกติธุระ, สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน, ออกเช็คเพื่อชำระหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมายโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค และธนาคารปฏิเสธไม่ให้ใช้เงินตามเช็ค หลังถูกออกหมายจับพร้อมพวกรวม 9 ราย หลอกลงทุนโครงการทางการแพทย์ มูลค่าความเสียหายกว่า 7,500 ล้านบาท ยังไม่นับรวมผู้เสียหายที่เข้าแจ้งความเพิ่มเติมคาดว่าความเสียหายน่าจะทะลุหลักหมื่นล้านบาท
โดย พ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่า กรณีของหมอบุญ ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษได้สืบสวนคู่ขนานกับตำรวจและประสานการทำงานกันอยู่ แต่สำนวนคดี ขณะนี้กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) ยังอยู่ระหว่างรวบรวมข้อเท็จจริง ซึ่งต้องดูในรายละเอียดว่าจะอยู่ในอำนาจหน้าที่ของดีเอสไอหรือไม่
วันเดียวกันที่อาคารรัฐสภา นายแทนคุณ จิตต์อิสระ ประธานชมรมสันติประชาธรรม กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีนี้ว่า หลังจากวันที่ 12 ธ.ค.67 ซึ่งจะครบกำหนดชำระดอกเบี้ย ร้อยละ 7% จากการที่กู้ยืม จะมีผู้เสียหายออกมาแสดงตัวมากขึ้น เนื่องจากหลายคนกังวลใจและรออยู่ว่าจะได้ดอกเบี้ยหรือไม่ เพราะตั๋วสัญญาใช้เงินมีกำหนดชำระดอกเบี้ย 2 รอบ คือวันที่ 12 มิ.ย. และ 12 ธ.ค. หากไม่ได้จะรวมตัวกันแจ้งความ คาดว่าจะมีผู้เสียหายไม่น้อยกว่า 500 ราย ซึ่งเป็นหนึ่งเท่าของผู้เสียหายปัจจุบัน
นายแทนคุณ กล่าวอีกว่า ขณะนี้ผู้เสียหายยังแจ้งความไม่หมด กลุ่มผู้เสียหายกลุ่มใหม่จะเป็นผู้สูงอายุ หลักลงทุนสูงสุด 3,000 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นสามี-ภรรยาคู่หนึ่ง อายุมาก ซึ่งตนได้ติดต่อประสานงานไปแล้ว แต่พบว่าผู้เสียหายดังกล่าวป่วยหนัก จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจนต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยมูลค่าความเสียหายทั้งหมดของกลุ่มผู้สูงอายุ คาดประมาณ 25,000 ล้านบาท