ฉลุย! “พิชัย” ปิดดีลเจรจา “เอฟตา“ 4 ประเทศ ฉบับแรกของยุโรป

“รมว.พาณิชย์” ปิดดีลเจรจา “เอฟตา” 4 ประเทศ “สวิตเซอร์แลนด์-นอร์เวย์-ไอซ์แลนด์-ลิกเตนสไตน์” สรุปผล FTA ฉบับแรกของไทยกับยุโรป


นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า วานนี้(29พ.ย.67) ทาง EFTA Secretariat ได้ประกาศความสำเร็จของการเจรจาความตกลงการค้าเสรีเอฟตา-ไทย ที่ครอบคลุมทุกด้าน ซึ่งเป็นข้อสรุปจากหัวหน้าคณะผู้แทนของทุกชาติ วันนี้ กระทรวงพาณิชย์จึงขอร่วมประกาศความสำเร็จในโอกาสที่ไทยสรุปผลการเจรจาจัดทำความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) กับ “เอฟตา” หรือ สมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Associations) ประกอบด้วยสมาชิก 4 ประเทศ คือ สวิตเซอร์แลนด์, นอร์เวย์ ,ไอซ์แลนด์, และ ลิกเตนสไตน์

ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลไทยที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มอบหมายให้นายพิชัย เร่งดำเนินการเจรจาจัดทำ FTA กับประเทศคู่ค้าไทยต่างๆ ให้สำเร็จ เพื่อเพิ่มโอกาสในการส่งออกสินค้าและบริการ สร้างแต้มต่อทางการค้าให้ผู้ประกอบการของไทย รวมทั้ง ดึงดูดต่างชาติมาลงทุนในไทยมากยิ่งขึ้น ซึ่งไม่ว่าหน่วยงานต่างชาติใดมาพบปะหารือกับรัฐบาลไทยก็จะสนับสนุนการเจรจาเอฟทีเอ อาทิ คณะนักธุรกิจจากสภาธุรกิจสหรัฐอเมริกา-อาเซียนที่ส่งเสริมให้ไทยเจรจา FTA กับคู่ค้าสำคัญ อาทิ เอฟตา สหภาพยุโรป แคนาดา

กระทรวงพาณิชย์โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศได้สรุปผลการเจรจา FTA กับเอฟตา ได้สำเร็จ โดยได้ข้อสรุปทุกประเด็นภายใต้การเจรจาทั้งหมด 15 เรื่อง ได้แก่ (1) การค้าสินค้า (2) กฎว่าด้วยถิ่นกำเนิดสินค้า (3) การอำนวยความสะดวกทางการค้า (4) มาตรการเยียวยาทางการค้า (5) มาตรการสุขอนามัยและสุขอนามัยพืช (6) มาตรการอุปสรรคเทคนิคต่อการค้า (7) การค้าบริการ (8) การลงทุน (9) ทรัพย์สินทางปัญญา (10) การแข่งขัน (11) การจัดซื้อจัดจ้างโดยรัฐ (12) การค้าและการพัฒนาที่ยั่งยืน (ครอบคลุมประเด็นสิ่งแวดล้อมและแรงงาน) (13) ความร่วมมือด้านเทคนิคและการเสริมสร้างศักยภาพ (14) ประเด็นกฎหมายและการระงับข้อพิพาท และ (15) วิสาหกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดย่อม (SMEs)

รมว.พาณิชย์ กล่าวว่า การเจรจา FTA ไทย-เอฟตา ใช้เวลา 2 ปี ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายประกาศเริ่มต้นการเจรจาในปี 2565 ถือเป็นความสำเร็จตามนโยบายสำคัญของรัฐบาลที่ต้องการเร่งขยายโอกาสทางการค้าและการลงทุนกับประเทศคู่ค้าสำคัญ ผ่านการจัดทำ FTA เพื่อลดอุปสรรคทางการค้า อำนวยความสะดวกกับภาคธุรกิจ ยกระดับมาตรฐาน สร้างความเชื่อมั่นและดึงดูดการลงทุน รวมถึงกระชับความสัมพันธ์และสร้างความร่วมมือที่เป็นประโยชน์ร่วมกัน

นายพิชัย เพิ่มเติมว่า ความสำเร็จในการจัดทำ FTA ฉบับนี้ ถือเป็นหน้าใหม่ของประวัติศาสตร์การค้าไทย เนื่องจากเป็น FTA ฉบับแรกที่ไทยทำกับกลุ่มประเทศในยุโรป มีความทันสมัย มาตรฐานสูง สอดคล้องกับพัฒนาการของกฎเกณฑ์การค้ายุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งจะปูทางไปสู่การเจรจาจัดทำ FTA กับคู่ค้าสำคัญอื่น ๆ เช่น สหภาพยุโรป เพิ่มเติมต่อไปในอนาคต ในขั้นต่อไป กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ จะนำผลการเจรจาเสนอต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ เพื่อเตรียมการลงนาม FTA ฉบับนี้ ร่วมกับประเทศสมาชิกเอฟตา ในช่วงเดือนมกราคม 2568 ในโอกาสที่นายกรัฐมนตรี (นางสาวแพทองธาร ชินวัตร) และตนจะเดินทางเข้าร่วมการประชุม World Economic Forum (WEF) ณ เมืองดาวอส ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ หลังจากนั้น รัฐบาล โดยกระทรวงพาณิชย์ จะเสนอความตกลงฉบับนี้ต่อรัฐสภาเพื่อให้ความเห็นชอบ ก่อนที่ประเทศไทยจะให้สัตยาบันเพื่อให้ความตกลงฉบับนี้มีผลบังคับใช้และเกิดประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของไทยอย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

“ตั้งแต่ตนเข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมาก็ได้สั่งการให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศเดินหน้าเจรจา FTA ฉบับต่างๆ ที่อยู่ระหว่างหารืออย่างเต็มที่ ขอขอบคุณทีมพาณิชย์ทั้งหมดที่นำโดยท่านปลัดกระทรวงพาณิชย์ (นายวุฒิไกร ลีวีระพันธุ์)และท่านอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ (นางสาวโชติมา เอี่ยมสวัสดิกุล) และทีมงานทั้งหมด ที่ร่วมกันขับเคลื่อน FTA ไทย-เอฟตาฉบับนี้ จนสำเร็จเป็นของขวัญปีใหม่ให้กับคนไทยและเศรษฐกิจไทย ซึ่งหลังจากนี้กระทรวงพาณิชย์จะได้เร่งดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป ขอให้มั่นใจว่าวันนี้สถานการณ์การค้าการลงทุนของประเทศดีขึ้นต่อเนื่อง และFTA ไทย-เอฟตาฉบับนี้ก็จะมีส่วนในการผลักดันการค้าของเราให้มั่งคั่งยิ่งขึ้นไป“ นายพิชัยกล่าว

โดยปี 2567 (ม.ค.-ต.ค) ไทยกับเอฟตามีมูลค่าการค้ารวม 10,293.53 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นร้อยละ 2.03 ของการค้าทั้งหมดของไทยกับโลกขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ร้อยละ 23.22 โดยไทยส่งออกไปเอฟตา 3,787.97ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้าจากเอฟตา 6,505.56 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

สำหรับสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ นาฬิกาและส่วนประกอบ อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป เครื่องใช้สำหรับเดินทาง เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล แผงสวิทซ์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ เครื่องสำอาง สบู่และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ผลิตภัณฑ์พลาสติกและ ข้าว

ส่วนสินค้านำเข้าสำคัญ ได้แก่ เครื่องเพชรพลอยอัญมณี เงินแท่งและทองคำ นาฬิกาและส่วนประกอบเนื้อสัตว์สำหรับการบริโภค ปุ๋ย และยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์ ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ เครื่องมือเครื่องใช้เกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ การแพทย์ เครื่องประดับอัญมณี และสัตว์น้ำสด แช่เย็น แช่แข็งแปรรูปและกึ่งสำเร็จรูป

Back to top button