“พาณิชย์” เปิดตัวเลขใช้สิทธิ FTA ส่งออก 9 เดือนพุ่ง 85% แตะ 6.35 หมื่นล้านเหรียญ
“พาณิชย์” เปิดตัวเลขใช้สิทธิ FTA ส่งออก 9 เดือนแรกพุ่ง 85% แตะ 6.35 หมื่นล้านเหรียญ แนะเตรียมรับมือนโยบาย "ทรัมป์ 2.0" หลังแห่ใช้มาตรการตอบโต้ สกัดนำเข้า-ต้นทุนพุ่ง
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยตัวเลขการใช้สิทธิประโยชน์ทางการค้าสำหรับการส่งออกภายใต้ความตกลงการค้าเสรี หรือ FTA ในช่วงเดือนมกราคม-กันยายน 2567 มีมูลค่าการใช้สิทธิภายใต้ความตกลง FTA รวม 63,501.81 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิ 85.58% ของมูลค่าการส่งออกสินค้าที่ได้รับสิทธิ เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 2.11% ซึ่งเป็นการเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2567 โดยเป็นการส่งออกไปยังอาเซียนภายใต้ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน (ATIGA) สูงที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง มูลค่า 24,504.19 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วนการใช้สิทธิ 82.34%
อันดับสองเป็นการใช้สิทธิฯ ภายใต้ความตกลงอาเซียน-จีน (ACFTA) มูลค่า 17,348.82 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิ 91.17%
อันดับสามความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น (JTEPA) มูลค่า 5,109.13 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิ 83.94%
อันดับสี่ ความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย (TAFTA) มูลค่า 4,704.71 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 59.45%
อันดับห้า ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (AIFTA) มูลค่า 4,232.42 ล้านเหรียญสหรัฐ สัดส่วนการใช้สิทธิฯ 63.45%
นางอารดากล่าวว่า จาก FTA ทั้งหมด 12 ฉบับที่กรมการค้าต่างประเทศติดตามการใช้สิทธิ ในปัจจุบัน มี FTA ที่มีอัตราการใช้สิทธิฯเพิ่มขึ้นในช่วงเดือนมกราคม-กันยายน ปี 2567 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวม 8 ฉบับ ได้แก่ ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจไทย-เปรู เพิ่มขึ้น 47.60% ความตกลงการค้าเสรีไทย-ชิลี เพิ่มขึ้น 23.84% ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-ออสเตรเลีย-นิวซีแลนด์ (ส่งออกไปออสเตรเลียและนิวซีแลนด์) เพิ่มขึ้น 16.88% ความตกลงการค้าสินค้าของอาเซียน เพิ่มขึ้น 10.04% ความตกลงเร่งรัดการลดภาษีไทย-อินเดีย เพิ่มขึ้น 8.15% ความตกลงการค้าเสรีอาเซียน-อินเดีย (ส่งออกไปอินเดีย) เพิ่มขึ้น 2.80% ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) เพิ่มขึ้น 2.48% และความตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลีย เพิ่มขึ้น 1.35% เป็นผลมาจากภาพรวมการส่งออกของไทยเพิ่มสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2566 จาก 214,500.54 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น 222,964.06 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2567
โดยสินค้าที่มีการส่งออกภายใต้ความตกลง FTA ในช่วงเดือนมกราคม-กันยายน ปี 2567 แบ่งเป็น สินค้าเกษตรและเกษตรแปรรูป 5 อันดับแรก ได้แก่ ทุเรียนสด เนื้อไก่แปรรูป เนื้อสัตว์ปีกแช่แข็ง สตาร์ชทำจากมันสำปะหลัง และน้ำตาล มูลค่ารวม 18,451.60 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 29.06% ของมูลค่าการใช้สิทธิ และสินค้าอุตสาหกรรม 5 อันดับแรก ได้แก่ ยานยนต์ขนส่งของ ยานยนต์สำหรับขนส่งบุคคล ยางสังเคราะห์และแฟกติชที่ได้จากน้ำมัน เครื่องปรับอากาศ และเครื่องซักผ้า มูลค่ารวม 45,050.21 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 70.94% ของมูลค่าการใช้สิทธิ
นางอารดากล่าวต่อว่า คาดการณ์แนวโน้มการใช้สิทธิ FTA ในปี 2568 ว่าการใช้สิทธิ FTA มีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้น ผลมาจากนโยบายภาครัฐที่ส่งเสริมการส่งออกผ่านการใช้สิทธิ FTA และการแข่งขันของการค้าระหว่างประเทศที่มีความเข้มข้นเนื่องจากการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจาก FTA เป็นการสร้างแต้มต่อให้สินค้าไทยในการรักษาตลาดและขยายตลาดได้เพิ่มมากขึ้น โดยอันดับหนึ่งคาดว่าจะยังคงเป็นตลาดอาเซียน สิ่งที่น่าจับตามองในปี 2568 ของตลาดอาเซียนคือการส่งออกไปยังเวียดนามที่มีสถิติการใช้สิทธิเติบโตอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567
สำหรับตลาดจีน จากข้อมูลสถิติช่วงเดือนมกราคม-กันยายน 2567 พบว่า ทุเรียนสดเป็นสินค้าที่มีมูลค่าการส่งออกสูงที่สุดภายใต้ความตกลง FTA ทั้ง 12 ฉบับ ติดต่อกันหลายเดือนในช่วงที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่ทุเรียนไทยจะยังคงครองตลาดในจีนอย่างต่อเนื่องในปี 2568
“ขณะนี้กำลังติดตามนโยบายนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ที่กลับมาอีกรอบจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร แต่เชื่อว่าจะมีความเข้มข้นและใช้มาตรการต่างๆที่รุนแรงมากขึ้น ซึ่งเป็นประเด็นที่กรมต้องมีแผนทั้งรุกและตั้งรับ ยอมรับว่าปี 2568 เป็นปีที่กดดันต่อการทำงานและเป้าหมายสำหรับการขับเคลื่อนการค้าโลกและเป้าหมายการทำงาน โดยยังยึดในการสร้างสมดุลกับทุกประเทศ ไม่ว่าจะสหรัฐ หรือจีน ที่เชื่อว่าจะมีการการตอบโต้และเร่งหาพันธมิตรอย่างดุเดือด อย่างตอนนี้ สหรัฐจะทยอยปรับขึ้นภาษีนำเข้า และจีนปรับลดภาษีให้กับพันธมิตร เป็นต้น” นางอารดากล่าว