โบรกคัด 3 หุ้นท็อปพิก ลงทุนเดือน ธ.ค.
บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ประเมินตลาดหุ้นไทยเดือน ธ.ค. น่าจะมีลุ้นฟื้นตัว หลังจากผ่านพ้นปัจจัยกดดันต่างๆ พร้อมคัด 3 หุ้นท็อปพิก CRC- MTC- CK
บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์วานนี้ (3 ธ.ค.67) ประเมินสถานการณ์ตลาดหุ้นไทยเดือน ธ.ค. น่าจะมีการฟื้นตัว หลังจากผ่านพ้นปัจจัยกดดันต่างๆไปแล้วมากพอสมควร โดยคาดว่ากระแสเงินทุนไหลออกน่าจะชะลอลง บวกกับตัวเลขเศรษฐกิจที่จะทยอยรายงานน่าจะสะท้อนภาพเชิงบวกของเศรษฐกิจภายในประเทศอย่างต่อเนื่อง
โดยประเมิน SET Index ในเดือน พ.ย. ลุ้นฟื้นตัว ในกรอบ 1,400 – 1,490 จุด ให้น้ำหนักแรงหนุนจาก 1) ตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่จะสะท้อนภาพเชิงบวกของการบริโภค การท่องเที่ยว และส่งออก ต่อเนื่อง 2) กระแสเงินลงทุนต่างชาติที่จะชะลอแรงขายลง และเม็ดเงินนักลงทุนสถาบันฯ ที่มีโอกาสกลับเข้าซื้อในจุดที่ระดับดัชนีมีความน่าสนใจ 3) สิ้นสุดช่วงความผันผวนจากการปรับมุมมอง ให้น้ำหนักดอกเบี้ยขาลงเกิดขึ้น ช้ากว่าเดิม 4) ความกังวลต่อสงครามการค้าที่จะเกิดขึ้นหลังการเข้ารับตำแหน่งของ Donald Trump ที่ก่อนหน้านี้กระทบต่อภาพรวมที้งเอเชียน่าจะผ่อนคลายลง และมีความเฉพาะเจาะจงมากขึ้น ทั้งนี้หุ้น Top Picks เดือนธันวาคม ได้แก่
บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC เนื่องด้วยมีสัญญาณบวกจากกำไรหลักในไตรมาส 3/67 สูงกว่าคาดการณ์ของฝ่ายนักวิเคราะที่ระดับ 33% และตลาดคาด 27% จากการควบคุมค่าใช้จ่าย SG&A ที่ดีและคาดว่าผลการดำเนินงานในงวดของไตรมาส 4/67 จะเติบโตได้ต่อจากการเข้าสู่ช่วงฤดูกาลเฉลิมฉลอง การกลับมาเปิด Central ชิดลม และ Rinascente Milan และแนวโน้มกำไร 2568 ขยายตัวอีก 13.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เด่นกว่ากลุ่มค้าปลีกที่ขยายตัว 10.6% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยให้ราคาเป้าหมาย 40 บาท
บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC มีการเติบโตของสินเชื่อที่ดีและคุณภาพสินทรัพย์ที่มีเสถียรภาพ เนื่องมาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพของพนักงานและได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นของรัฐฯ เป็นปัจจัยสำคัญช่วยหนุนการเติบโตของกำไร 67/68 ขยายตัวเฉลี่ย 17.5% โดยให้ราคาเป้าหมาย 60 บาท
บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK โดยประเมินแนวโน้มกำไรปี 2567 จะเติบโตโดดเด่น 30% ถัดไปในปี 2568 เติบโต 15% และในปี 2569 เติบโต 24% ตามลำดับ เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
โดยเฉพาะปี 2569 กำไรจะทำสถิติสูงสุดใหม่ 2,711 ล้านบาท โดยแรงขับเคลื่อนการเติบโตมาจากการทยอยรับรู้งานก่อสร้างที่ปัจจุบันมีงานในมือ (Backlog) ในระดับสูง 220,020 ล้านบาท และอัตรากาไรขั้นต้นมีแนวโน้มดีขึ้นใน ไตรมาส 4/67 ต่อเนื่องไปปี 2568 ตามงานโครงสร้างพื้นฐานจะเร่งรับรู้รายได้ ให้ราคาเป้าหมาย 27.50 บาท