“สส.เพื่อไทย” ชงแก้ “กฎหมายกลาโหม” คุมกองทัพ-ชิงฐานเสียงส้ม!?
“สส.เพื่อไทย” ชงแก้ “กฎหมายกลาโหม” คุมกองทัพ-ชิงฐานเสียงส้ม!?
เมื่อการแก้กฎหมายกลายเป็นประเด็นร้อนแรงในเวทีการเมืองไทยอีกครั้ง
เว็บไซต์รัฐสภา www.parliament.go.th กำลังเปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนต่อ ร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม (ฉบับที่…) พ.ศ. … ซึ่งเป็นข้อเสนอจาก นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และคณะ ตามมาตรา 77 ของรัฐธรรมนูญ การเปิดรับฟังความคิดเห็นดังกล่าวเริ่มตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2567 และจะสิ้นสุดในวันที่ 1 มกราคม 2568
เสียงสะท้อนจากประชาชน
จนถึงวันนี้ (10 ธันวาคม 2567) มีผู้เข้าร่วมแสดงความคิดเห็นกว่า 43,005 คน โดย 55.73% โหวต เห็นด้วย กับร่างกฎหมายฉบับนี้ ขณะที่ 44.27% โหวต ไม่เห็นด้วย ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับช่วงเริ่มต้นที่เสียงไม่เห็นด้วยมีมากกว่า
“พลเรือน” ยึดอำนาจ “สภากลาโหม”
ร่างกฎหมายฉบับนี้จุดกระแสความสนใจ เนื่องจากมีสาระสำคัญเกี่ยวกับการปรับโครงสร้างอำนาจการบริหารในกระทรวงกลาโหม โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มบทบาทของรัฐบาลพลเรือนเหนือกองทัพ ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงสำคัญ
ได้แก่ การเปลี่ยนประธานสภากลาโหม จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็น นายกรัฐมนตรี, การเพิ่มขั้นตอนการแต่งตั้งนายพล โดยต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) , ยกเลิกสิทธิ์กองทัพในการทำรัฐประหาร โดยกำหนดมาตรา 35 ห้ามการยึดอำนาจจากรัฐบาล
ที่น่าสนใจ คือ ร่างกฎหมายฉบับนี้ให้อำนาจนายกรัฐมนตรี ในการสั่งพักราชการชั่วคราวนายทหารระดับสูง ระหว่างรอผลการสอบสวน โดยไม่ต้องดำเนินการตามขั้นตอนเดิมที่กฎหมายระบุไว้
“ประยุทธ์ ศิริพานิชย์” กลับมาชงกฎหมายอีกครั้ง
การปรากฏตัวของ นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ ในฐานะผู้เสนอร่างกฎหมายครั้งนี้ ทำให้หลายคนหวนคิดถึงบทบาทของเขาในอดีต โดยเฉพาะกรณี ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมสุดซอย ซึ่งกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และจุดชนวนความขัดแย้งทางการเมืองครั้งใหญ่
การเคลื่อนไหวครั้งนี้สะท้อนให้เห็นว่าเขายังคงมีบทบาทสำคัญในเวทีการเมือง และเป็นตัวแทนของแนวคิดที่ต้องการผลักดันการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างอำนาจของกองทัพ
ใครเห็นด้วย-ใครคัดค้าน?
ฝ่ายที่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายนี้มีเป้าหมายเพื่อปฏิรูปกองทัพให้โปร่งใสมากขึ้น ซึ่งรวมถึงการลดขนาดและงบประมาณของกองทัพ การลดจำนวนนายพล การยกเลิกการเกณฑ์ทหาร และการตรวจสอบการใช้งบประมาณกองทัพ
โดยตัวแทนสำคัญของกลุ่มนี้คือ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ โฆษกพรรคประชาชน ที่เคยผลักดันประเด็นดังกล่าวมาตั้งแต่สมัยพรรคอนาคตใหม่และพรรคก้าวไกล
ส่วนฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยมองว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ อาจเป็นการแทรกแซงกิจการกองทัพโดยตรง เช่นเดียวกับที่นายกรัฐมนตรีมีอำนาจเหนือสำนักงานตำรวจแห่งชาติในปัจจุบัน
หนึ่งในผู้คัดค้านหลักคือ นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และรองนายกรัฐมนตรี โดยเขามองว่า การเมืองไม่ควรก้าวก่ายการบริหารกองทัพ ซึ่งเป็นสถาบันสำคัญของชาติ และชี้ให้เห็นว่า กฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันเพียงพอแล้วในการป้องกันรัฐประหาร
เสียงสะท้อนจากกระทรวงกลาโหม
ด้าน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ระบุว่าการเสนอร่างกฎหมายครั้งนี้เป็นสิทธิของ สส. และยังไม่ใช่ร่างของพรรคเพื่อไทยโดยตรง เขายังเน้นย้ำว่าการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ควรเกิดขึ้นจากความร่วมมือและความเหมาะสม ในการปฏิบัติมากกว่าการเปลี่ยนแปลงในตัวบทกฎหมาย
กฎหมายกลาโหม: ทางแยกสำคัญของการเมืองไทย
การแก้ไขกฎหมายกลาโหมครั้งนี้กลายเป็นสนามประลองแนวคิดระหว่างฝ่ายที่ต้องการปฏิรูปกองทัพและฝ่ายที่มองว่า ควรรักษาโครงสร้างเดิมเอาไว้ สิ่งที่ต้องจับตาคือ ความคิดเห็นจากประชาชนและการตัดสินใจของรัฐสภา
ท้ายที่สุดแล้ว การผลักดันร่างกฎหมายนี้จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในทางที่ช่วยลดความขัดแย้ง หรือกลับกลายเป็นเชื้อไฟทางการเมืองครั้งใหม่? คงต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด