“บล.เอเซีย พลัส” แนะเก็บ 7 หุ้น “บลูชิพ” หวังเม็ดเงินกองทุนไหลเข้า
“บล.เอเซีย พลัส” แนะเก็บ 7 หุ้น “บลูชิพ” หวังได้ประโยชน์เม็ดเงินกองทุนไหลเข้า หลังหุ้นที่มีน้ำหนักในดัชนีอ้างอิง SET50FF มากขึ้น เมื่อเทียบกับ SET50 เดิม
บริษัท หลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้ (12 ธ.ค. 67) ว่าหลังจากที่มีการเปิดตัว SET50FF (เป็นดัชนี SET 50 ที่ปรับน้ำหนักของหุ้นแต่ละตัวตามสัดส่วน FREE FLOAT ของหุ้น) เมื่อเดือน ม.ค.67 ที่ผ่านมา ล่าสุดเห็นความน่าจะเป็นที่ นักลงทุนสถาบันในประเทศมีแนวทางที่จะปรับเปลี่ยนตัว BENCHMARK จากเดิมที่ใช้ SET50 เป็น SET50FF ในอนาคต
ทางฝ่ายวิจัยได้ลองศึกษาดูผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น หากกองทุนรวมต่างๆ มีการปรับมาใช้ SET50FF ซึ่งอาจต้องมีการปรับพอร์ตให้สอดคล้องกับน้ำหนักใน SET50FF มากขึ้น หุ้นที่ได้ประโยชน์ ก็จะเป็นหุ้นที่มีน้ำหนักในดัชนีอ้างอิงมากขึ้นเมื่อเทียบกับ SET50 เดิม พบว่า 4 อันดับแรกเป็นกลุ่มธนาคาร เช่น BBL, KBANK, TISCO, SCB และยังมีหุ้นที่น่าสนใจอย่าง SCC, WHA, CPALL เป็นต้น ส่วนหุ้นที่มีน้ำหนักลดลงอย่างเช่น ITC, TLI, DELTA, OR เป็นต้น
ทั้งนี้ ภาพใหญ่ๆ ของวันนี้ยังอยู่ในภาวะที่ไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามา ซึ่งคาดว่าน่าจะทำให้ SET INDEX ผันผวนในกรอบ 1438 – 1450 จุด หุ้น สำหรับหุ้น TOP PICK วันนี้เลือก BEM, CPALL และ PLANB
ขณะที่วานนี้ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) ได้เผยแพร่รายงานประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจเอเชียหดตัวลงจากการประมาณการครั้งก่อน (ก.ย.67) จากการเร่งปรับเปลี่ยนนโยบายการค้าของสหรัฐฯ ภายใต้การบริหารของโดนัลด์ ทรัมป์ ส่วนประเทศไทยแม้ได้รับระผลกระทบดังกล่าวเช่นกัน แต่คาดหวังมาตรการกระตุ้นช่วงปลายปี บวกกับอัตราเงินเฟ้อที่ทยอยเพิ่มขึ้น สะท้อนเศรษฐกิจภายในประเทศกำลังฟื้นตัว จึงทำให้ ADB ได้รับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของไทยในปีนี้ จากเดิมที่คาดว่าจะขยายตัว 2.3% เพิ่มขึ้นเป็น 2.6% และคงตัวเลขคาดการณ์ GDP ของไทยในปี 2568 ไว้ที่ระดับเดิมที่ 2.7%
ส่วนการประชุม ครม.วานนี้มีความคืบหน้าในหลายประเด็น เริ่มจากโครงการแก้หนี้ ครัวเรือน โดยการลดจ่ายค่างวดเว้นดอก 3 ปี สำหรับ 3 กลุ่ม คือ บ้าน-รถ-เอสเอ็มอี รวมช่วยลูกหนี้ 1.9 ล้านราย วงเงินรวม 8.9 แสนล้านบาท เพื่อเป้าหมายทำให้หนี้
ครัวเรือน/ GDP ต่ำกว่าระดับ 80% และหวังดัน GDP GROWTH ปี 2568 โต 3.5% รวมถึงนโยบายเก็บภาษีบริษัทข้ามชาติ15% ตามแนวทาง OECD คาดดึงเม็ดเงินรายได้เพิ่มกว่าหมื่นล้านบาทต่อปี
ขณะที่วันนี้นายกฯ เตรียมแถลงผลงานรอบ 3 เดือนที่ผ่านมาหลังจากเข้ามาบริหารและพ่วงของขวัญปีใหม่ 2568 อาทิ โครงการเงินดิจิทัลเฟส 2-3 ,ค่าแรงขั้นต่ำ 400บาท/วัน และ ค่ารถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ประเด็นดังกล่าว คาดหนุนให้ SET INDEXน่าจะพยุงตัวได้ในกรอบแคบ ในสภาวะที่ FLOW ต่างชาติยังขายสุทธิอย่างต่อเนื่อง โดยกลยุทธ์การลงทุนในช่วงนี้ แบ่งเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้ 1. กลุ่มเครื่องดื่ม ได้แก่ CBG, OSP, ICHI, SAPPE 2. กลุ่มค้าปลีก ได้แก่ CPALL, CRC, BJC, CPAXT 3. กลุ่มเช่าซื้อ ได้แก่ MTC, SAWAD, TIDLOR และ4.กลุ่มกำไรอิงการส่งออก ได้แก่ TU, CPF, TFG, NER, STA