“ทักษิณ” ซัด “ฝูงนักร้อง” ทำประเทศขาดเชื่อมั่น! แนะรัฐเจรจาภาษีมะกัน หนุนใช้ “บิทคอยน์”
“ทักษิณ” ประกาศกลางเวทีสัมมนาพรรคเพื่อไทย “ผมไม่หมูแล้วนะ” ใครจ้องฟ้องเตรียมถูกเช็กบิล หวังจัดการอุปสรรคที่เป็นปัญหาต่อการพัฒนาประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวานนี้ (13 ธ.ค. 67) พรรคเพื่อไทย จัดงานสัมมนา ในโครงการเสริมศักยภาพสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) และบุคลากรทางการเมือง ที่โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ร่วมมาเป็นวิทยากร โดยมี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย รวมถึงนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรีและสมาชิกพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วย สส. และรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยเข้าร่วมสัมมนา
นายทักษิณ บอกว่า การกลับมาเมืองไทยในวันนี้ ทำให้รู้สึกดีใจที่ได้มีโอกาสพูดคุยกับทุกคนอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้พบปะกันมานาน หลายคนอาจยังไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตัวเองอายุ 75 ปีแล้ว และคงเหลือเวลาทำอะไรให้กับบ้านเมืองอีกไม่นาน ขณะเดียวกัน ตนเห็นถึงศักยภาพของ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย และแสดงความตั้งใจที่จะเล่าสู่กันฟังเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้านเมืองและในโลก จากประสบการณ์ที่ได้สะสมมาจากการทำงานที่ผ่านมา
พร้อมรับมือ “โดนัลด์ ทรัมป์” ตั้งกำแพงภาษี หนุนใช้ “บิทคอยน์”
สิ่งที่เราต้องห่วงมากที่สุด คือ การกลับมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ อีกครั้ง ซึ่งอาจจะไม่เป็นผลดีกับประเทศไทยมากนัก เพราะในช่วงที่มีการหาเสียงเลือกตั้ง ตนได้มีโอกาส ZOOM คุยคนที่สนับสนุนนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าให้ประเทศไทยต้องระวังการดำเนินนโยบายของสหรัฐฯ หลังจากนี้ เพราะไทยได้เปรียบดุลการค้า ดังนั้นสิ่งที่สหรัฐฯ จะทำหลังจากนี้ คือ การจัดการปัญหากับประเทศที่สหรัฐฯเสียดุล โดยการเพิ่มภาษี หรือการให้นักลงทุนไทยไปลงทุนในสหรัฐฯ หรือ เกิดการจ้างงานให้สหรัฐฯ
อีกหนึ่งสิ่งที่มีความกังวลของสหรัฐฯ ที่มีต่อไทย นั้นคือการทำการค้าเสรี (FTA) กับออสเตรเลีย สินค้าเกี่ยวกับ dairy product เข้ามาประเทศไทยโดยเสียภาษีศูนย์เปอร์เซ็นต์ แต่สหรัฐฯ โดนเรียกเก็บภาษี 50 % ดังนั้นกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงการคลัง จำเป็นต้องศึกษา หากต้องมีมาตรการลดภาษีให้กับสหรัฐอเมริกาบ้าง
ขณะเดียวกันสิ่งที่ประเทศไทยต้องตามให้ทันคือการที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศจะใช้หนี้รัฐบาลสหรัฐฯ ด้วยบิทคอยน์ (Bitcoin) เห็นได้จากราคาบิทคอยน์ที่ปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งมีคนรู้จักที่อยู่ในวงการนี้บอกว่าระวังราคาบิทคอยน์จะพุ่งไปถึง 850,000 ดอลลาร์ ขณะที่ราคาบิทคอยน์ยังอยู่ที่ 100,000 ดอลลาร์ ที่พูดเรื่องนี้เพราะอยากให้รู้ว่าเทรนด์เป็นอย่างไร
นายทักษิณ กล่าวต่อว่า ที่ตนนำเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเพราะว่ามีแนวโน้มที่หลายประเทศ เริ่มจะพิจารณาว่าจะนำบิทคอยน์บางส่วนมาเป็นทุนสำรองของประเทศหรือไม่ ขณะที่ นายเจอโรม พาวเวล (Jerome Powell) ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) บอกว่า บิทคอยน์ไม่ได้มาแข่งกับดอลลาร์ แต่เป็นคู่แข่งกับทองคำ แสดงให้เห็นว่า “digital money” หรือ เงินดิจิทัลทั้งหลายสามารถสร้างมูลค่าได้ บิทคอยน์มีจำกัด 21 ล้านเหรียญ วันนี้ออกมาแล้วกว่า 19 ล้านเหรียญ เหลืออีกเพียง 1 ล้านเหรียญ แต่ทองคำออกมาอย่างไม่มีข้อจำกัด ไปพบแหล่งทองใหม่ ๆ ได้ จึงมีการกล่าวว่าบิทคอยน์แข่งกับทองคำ
“แล้ววันนี้เงินคริปโท (Cryto) หลายสกุลก็ออกมาแล้ว มีคนบอกว่าอีกหน่อยเราจะมีสกุลเงินมากกว่าจำนวนประเทศชาติในโลกนี้ คือแบงก์ของประเทศหนึ่งมีมากกว่าหนึ่งสกุล เพราะฉะนั้นวันนี้คนไทยต้องคิดและต้องเตรียมรู้เท่าทันให้ได้ นายกฯ อิ๊งค์ มอบให้กระทรวงการคลังไปศึกษาว่าเราจะรับบิทคอยน์ได้ไหม เราจะ Sandbox ในแหล่งท่องเที่ยวอย่างภูเก็ตหรือหัวหินนี้ได้ไหม คือคนมีบิทคอยน์มันกำไรทั้งนั้น มันมีแนวโน้มจะใช้เยอะ สมมุติว่าต้นทุนหมื่นนึงวันนี้มันมีค่าแสนนึง ไปพักห้องสวีทดีกว่าแสนเดียวเท่ากับหมื่นเดียว เพราะฉะนั้นวันนี้หลายประเทศจะเริ่มแล้ว” นายทักษิณ กล่าว
ประกาศดัน จีดีพี ปีหน้า 3.5 % – ปี 69 ทะลุ 4 %
อีกเรื่องที่น่าติดตามคือ สเตเบิลคอยน์ (stablecoin) หรือเหรียญที่มีสินทรัพย์ค้ำประกันหรือป้องกันความเสี่ยง ซึ่งเรื่องนี้ นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ก็บอกให้กระทรวงการคลังไปศึกษา เป็นไปได้หรือไม่ที่จะเพิ่มเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ โดยไม่ต้องไปพิมพ์แบงก์ที่ไหน ก็คือเอาพันธบัตรที่ต้องออกไปปิดขาดดุลทุกปี ปีละ 7-8 แสนล้านบาท แทนที่จะออกพันธบัตรและให้สถาบันนำไปเก็บขึ้นหึ้งไว้ ถึงเวลาก็มากินดอกเบี้ยเรา เอาออกมาหล่อเลี้ยงระบบเศรษฐกิจดีกว่าก็คือการออก “คอยน์” โดยมีตราสารหนี้ (Bond) ของรัฐบาลค้ำประกัน และเงินเหล่านั้นก็สามารถไหลเวียน ขายรายย่อยก็ได้ พันบาทก็ซื้อได้ ก็จะทำให้เงินไหลเวียนอยู่ในระบบเศรษฐกิจ และทำให้เศรษฐกิจโตแน่
“ผมเชื่อว่าจีดีพีปีหน้า 3.5 % ไม่น่ามีปัญหา ปี 69 จีดีพี 4.0% ไม่น่ามีปัญหา แต่ตรงนี้เรายังไม่พอใจ เพราะถ้าจีดีพีไม่ถึง 5 % ประเทศไทยเราจะด้อยกว่าประเทศอื่นในอาเซียน” นายทักษิณ กล่าว
“ผมไม่หมูแล้วนะ” ลั่นใครจ้องฟ้องเตรียมถูกเช็กบิล!
ในประเด็นการเมือง นายทักษิณ กล่าวว่า วันนี้พรรคร่วมรัฐบาล ส่วนใหญ่เคยอยู่ร่วมกันมาตั้งแต่พรรคไทยรักไทย เคยร่วมรัฐบาลกันมาก็เยอะ เพราะฉะนั้นความสัมพันธ์ควรจะดี แต่เนื่องจากว่า บางทีบางครั้งบางคนก็ตื่นเต้นเรื่องนั้นเรื่องนี้ ตื่นเต้นกับคนมาร้อง ตื่นเต้นกับคนจะมาเดินขบวน
“บังเอิญว่าเมื่อก่อนผมไปนครปฐมนะ หมูมันเปลี่ยนเสียงเรียก ตอนก่อนที่ผมจะออกไปมันจะอู๊ด ๆ มันเรียกผม พี่ ๆ แต่เมื่อคืนก่อนผมไปนครปฐมอีกที หมูมันไม่เปลี่ยนเสียงเรียกแล้ว มันไม่ยอมเรียกผมพี่แล้ว มันอู๊ด ๆ เหมือนเดิม แสดงว่าผมไม่หมูแล้วนะ ขนาดหมูมันยังรู้ว่าผมไม่หมูแล้ว เพราะฉะนั้นใครคนที่ร้องผมเนี่ย ร้องพรรคเนี่ย แล้วร้องแล้วไม่สำเร็จ เตรียมถูกเช็กบิลได้เลยนะ” นายทักษิณ กล่าว
นายทักษิณ กล่าวต่อว่า ประเทศไทยแปลกอย่างหนึ่ง คนไม่มีอาชีพ มีฐานะและความอยู่ดีกว่าคนมีอาชีพ เกิดอะไรขึ้น แสดงว่าคนไทยไม่อยากมีเรื่อง ไม่อยากเอามือไปซุกหีบ ใครหาเรื่องก็ปิดปาก ตนว่ามันไม่ถูก เรากำลังส่งเสริมอาชีพที่ผิด ๆ ถ้าสรรพากรได้ยิน ปปง. ได้ยินก็ไปตรวจสอบเอาเองแล้วกัน ตนไม่เกี่ยว
“บางคนเมีย 3 ลูก 5 ไม่ได้ทำอาชีพอะไร มันเลี้ยงได้ยังไง บางคนส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ มหาวิทยาลัยแพง ๆ ด้วย เอาตังค์ที่ไหนไปส่ง อาชีพไม่มี นี่คือสิ่งที่ถึงเวลาที่ประเทศไทยจะต้อง ตรงไปตรงมา ผิดคือผิด ถูกคือถูก ไม่ใช่มายอมสิ่งที่ไร้สาระ บางคนถึงเวลาก็ต้องให้ไปหยอดเหรียญ ไม่หยอดเหรียญคือมือมันรวน มันพอได้แล้ว” นายทักษิณ กล่าว
นายทักษิณ ยังกล่าวด้วยว่า ปัญหาคือร้องไปร้องมา ทำให้ความไม่เชื่อมั่นประเทศไทยสูง คนมองว่ารัฐบาลจะไปแล้ว โดนร้องอีกแล้ว ตอนที่ตนโดน มีนักลงทุนต่างประเทศมาถามว่าวิตกหรือไม่ ซึ่งตนก็ตอบไปว่าไม่ได้ทำอะไรผิดไม่ได้วิตกอะไร ยังเชื่อว่าองค์กรอิสระทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดี แต่เราไปเปิดช่องให้ใครก็ไม่รู้ร้องได้ทุกคน ต้องให้ผู้เสียหายหรือองค์กรที่เกี่ยวข้องร้องเท่านั้น
“วันนี้องค์กรไม่เกี่ยวข้องยังไปทำงานเฮงซวยก็มี อย่างบางองค์กร ถูกไล่ออกจากงานตอนสมัยไอทีวี ก็มาหาเรื่องผม ซึ่งผมไม่รู้เรื่องเลย คนไทยเจ้าคิดเจ้าแค้น ของผมนี่นะ 17 ปี คนเล่นงานผมไม่รู้เท่าไหร่ เจ็บที่สุด ผมยังเฉย ๆ ยกหูหา จบนะ แต่เสร็จแล้วพอไม่จบ ไม่จบก็เตะกันคนละทีไม่เห็นเป็นไร…ไม่อยากเสียเวลา เสียมา 17 ปีแล้ว” นายทักษิณ กล่าว
ทั้งนี้ นายทักษิณ ยังได้ส่งสัญญาณถึงพรรคร่วมรัฐบาล โดยระบุว่า พรรคร่วมฯ ต้องทำงานแบบร่วมกันจริง ๆ ตรงไปตรงมา มีอะไรไม่พอใจพูดกัน แต่สิ่งไหนที่เป็นนโยบายรัฐบาลต้องทำ เพราะเราสนับสนุนร่วมกันมาแล้ว ไม่ใช่ได้ตำแหน่งแล้วไม่เอาแล้ว
“อยากจะส่งสัญญาณให้รู้ว่า วันนั้นไม่สวยเลยนะที่มีการหลบ ลา ปุ๊บ ปั๊บ หายไป พอ พ.ร.ก. เข้า ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องภาษี มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ Pillar Two ของ OECD ซึ่งมันเป็นคนละเรื่องเลย รีบหนีไปก่อน ไม่ดี ลูกผู้ชายมาด้วยกันไปด้วยกันนะ ต้องเป็นอย่างนั้น ก็ฝากให้ทุกพรรคให้รู้ว่า การทำงานร่วมกันง่ายมาก ตรงไปตรงมา” นายทักษิณ กล่าว
นายทักษิณ ย้ำอีกครั้งว่า ตนไม่ได้ครอบงำพรรคเพื่อไทยหรือรัฐบาล แต่เป็นลูกสาวต่างหากที่เป็นผู้ครองงำพ่อ
“วันนี้ผมไม่ได้ครอบงำนะ ผมถูกลูกสาวครอบงำ ใครมีครอบครัวจะรู้ว่าการที่พ่อกับลูกเล็ก มันแพ้ทางกันอยู่ ผมนี่ถูกใช้นะ พ่อไปทำนั่นให้หน่อย พ่อไปทำนี่ให้หน่อย เงินเดือนก็ 700 ต้องมาหาลำไพ่ไปเป็นผู้ช่วยหาเสียงได้วันละ 300 กว่า แต่ช่วงนี้อาจจะงานชุกอาจจะได้หลายตังค์อยู่ ศรีสะเกษก็เตรียมจ้างผมแล้วกันนะ เชียงใหม่มีตังค์เปล่า พอหน้าเลือกตั้ง อบจ. สงสัยรวย” นายทักษิณ กล่าว
ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวประเมินสถานการณ์จากคำแถลงของนายทักษิณว่า จะมีส่วนในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนเป็นอย่างมาก เนื่องจากตั้งแต่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นบุตรสาวของนายทักษิณ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำรัฐบาล ตัวของนายทักษิณและพรรคเพื่อไทย มักตกเป็นเป้าของบรรดา “นักร้อง” ในการไปร้องเรียนกับหน่วยงานต่างๆ เช่น กรณีนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ยื่นศาลรัฐธรรมนูญ วินิจฉัยสั่งการให้นายทักษิณ และพรรคเพื่อไทย เลิกการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพอันนำไปสู่การล้มล้างการปกครอง รวม 6 ประเด็น หนึ่งในนั้นมีประเด็นเรื่องการครอบงำพรรคของนายทักษิณด้วย แต่แล้วคดีนี้ ศาลรัฐธรรมนูญ มีมติไม่รับคำร้องทั้ง 6 ประเด็น โดย 5 ประเด็น มติเป็นเอกฉันท์ ส่วนประเด็นที่ 2 ที่เกี่ยวข้องกับ MOU 44 มติเสียงข้างมาก 7 ต่อ 2 ไม่รับคำร้องไว้พิจารณา
อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับการร้องเรียนที่เกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดความกังวลว่า หากรัฐบาลนี้ภายใต้การนำของพรรคเพื่อไทยมีอันเป็นไป การขับเคลื่อนนโยบายทางเศรษฐกิจมีอันต้องหยุดชะงักลง จะเป็นเหตุให้ตลาดหุ้นเกิดความผันผวนรุนแรง และปรับตัวลดลงอย่างหนัก จนส่งผลให้นักลงทุนได้รับความเสียหาย ช่วงที่ผ่านมานักลงทุนจำนวนมากจึงชะลอการลงทุน ซึ่งเป็นผลให้เกิดความซบเซาในตลาดหุ้นไทย ดังนั้นการออกมาประกาศแบบเสียงดังฟังชัดของนายทักษิณครั้งนี้ ย่อมเป็นการส่งสัญญาณที่จะขจัดอุปสรรคที่เป็นปัญหาของประเทศ เพื่อให้รัฐบาลสามารถเดินหน้าในการพัฒนาได้อย่างเต็มที่