“FETCO” มองเป้า “SET” ปี 68 พุ่งแตะ 1,614 จุด เด้งรับเศรษฐกิจโลกดีขึ้น
“FETCO” มองเป้า “SET” ปี 68 พุ่งขึ้นไปแตะ 1,614 จุด เด้งรับเศรษฐกิจดีขึ้น หนุนกำไร “บริษัทจดทะเบียน” ดีขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (16 ธ.ค.67) นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวถึง
แนวโน้มตลาดหุ้นไทย (SET INDEX) ว่า ระยะยาวดัชนีฯ จะปรับตัวดีขึ้น ส่วนที่วันนี้หลุดแนวรับที่ 1,420 จุด มองว่าเป็นปัญหาระยะสั้น ทั้งนี้ทางสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) ประเมินดัชนี SET สิ้นปี 2567 อยู่ที่ 1,494 จุด
ขณะที่ทิศทางตลาดหุ้นไทยปี 2568 คาดจะขึ้นไปอยู่ที่ 1,614 จุด โดยมีปัจจัยหนุนจากโอกาสในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ดีขึ้น รวมถึงการขยายตัวดีขึ้นของเศรษฐกิจไทย ที่จะหนุนให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนดีขึ้นตามไปด้วย
นอกจากนี้กระแสการลงทุนที่โยกย้ายเข้ามาสู่ภูมิภาคอาเซียน จะเป็นอีกส่วนที่สนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย สะท้อนจากตัวเลขการส่งออก การผลิต และการสร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทย โดยกำไรของบริษัทจดทะเบียนที่เพิ่มขึ้นจะช่วยสนับสนุนการประเมินมูลค่า (Valuation) ของตลาดหุ้นไทยในระยะต่อไป
อย่างไรก็ตาม มองความเสี่ยงที่ต้องติดตาม คือ ปัญหาเศรษฐกิจจีน โดยเฉพาะวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ ที่ยังต้องใช้เวลาฟื้นฟู เพราะทำให้เศรษฐกิจจีนชะลอตัวลง รวมถึง สงครามการค้า (Trade war) ที่เกิดจากนโยบายภาษีของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ และความเสี่ยงเรื่องความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่ต้องติดตามต่อว่าจะลุกลามมากน้อยเพียงใด อย่างไรก็ตามนโยบายของทรัมป์ที่ไม่สนับสนุนสงครามนั้นเป็นสิ่งที่ดี
นายกอบศักดิ์ ยังมองแนวโน้มเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติว่า ปัจจุบันสภาพคล่องมีอยู่มากในตลาดโลก ซึ่งสุดท้ายต้องหาที่ลงทุน หากเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว การท่องเที่ยวกลับมา บวกกับการเติบโตของภาคเอกชนขยายตัวต่อเนื่อง ความเชื่อมั่นจะเริ่มกลับมา รวมทั้งเทรนด์ด้าน ESG ซึ่งบริษัทในไทยดำเนินการด้าน ESG มากที่สุดในอาเซียน ก็จะช่วยส่งเสริมให้การลงทุนมีเข้ามาในประเทศมากขึ้นด้วย
ด้าน นางชวินดา หาญรัตนกูล นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน (AIMC) ในฐานะผู้จัดการกองทุน คาดว่า ตลาดหุ้นไทย ปี 2568 เม็ดเงินจะเข้ามาลงทุนในหุ้นกลุ่ม ESG ค่อนข้างมาก และการปรับลดลงของดอกเบี้ยยังเป็นแรงหนุนต่อการลงทุนในตราสารหนี้ ส่วนในตลาดหุ้นก็ยังโฟกัสไปในกลุ่ม ESG จึงมองว่า ทั้งตราสารหนี้และตราสารทุนในปีหน้า น่าจะไปต่อได้ แต่อาจต้องคัดเลือกเป็นรายตัวมากขึ้น
ส่วนเม็ดเงินกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (ThaiESG) คาดในช่วงสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ระดับ 28,000-30,000 ล้านบาท จากปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 20,000 ล้านบาท หลังจากคาดหวังในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ น่าจะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาเพิ่มเติมอีกราว 5,000-8,000 ล้านบาท