“ชัยยศ” ชี้กองทุน ThaiESG ความหวัง “ตลาดหุ้น” แนะกลยุทธ์ Selective Buy
“ชัยยศ จิวางกูร” แนะกลยุทธ์ Selective Buy หลังมองภาวะตลาดฯ ไม่เอื้อในการเข้าเก็งกำไรหุ้นใหญ่ หวังเม็ดเงิน ThaiESG เข้าช่วงสองสัปดาห์ท้ายปีหนุนดัชนีฟื้นตัว
นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS เปิดเผยในรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันนี้ (18 ธ.ค.67) ว่าภาพตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงมาเมื่อวานนี้ คาดการณ์ว่ามาจากการปรับพอร์ตของนักลงทุนสถาบัน ซึ่งมาจากกระแสข่าวทั้งในส่วนของ CPAXT รวมถึงความกังวลของแนวโน้มธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) แต่มองว่าการปรับตัวลดลงมาได้ตอบรับกับข่าวลบไปพอสมควรแล้ว ทำให้วันนี้มีโอกาสฟื้นตัวขึ้นมาได้
ส่วนสัปดาห์หน้าคาดการณ์ว่ายังเป็น Over Hang ต่อไป โดยนักลงทุนสถาบันยังมีโอกาสขายหรือปรับพอร์ตอีกรอบ หากการชี้แจงข้อมูลจากทางผู้บริหารยังมีข้อสงสัย หรือมีปัจจัยที่มองว่ายังไม่ค่อยดี
สำหรับกลยุทธ์ในการลงทุนช่วงนี้ แนะนำ Selective Buy เนื่องจากภาวะตลาดช่วงนี้ยังไม่ค่อยเอื้อในการเข้ามาเก็งกำไรในส่วนของหุ้นใหญ่ แต่ก็ยังมีบางตัวที่โมเมนตั้มยังเป็นบวก หลังราคาปรับตัวลงมาอยู่ในจุดที่สามารถทยอยเข้าซื้อได้
ทั้งนี้ ในส่วนของธีมหุ้น SET50/SET100 ที่เตรียมจะประกาศในสัปดาห์นี้ มองว่าไม่มีน้ำหนักมากนัก เนื่องจากเป็นการขยับพอร์ตแค่บางตัว บางกลุ่มเท่านั้น ขณะที่ความหวังหลักคือกองทุน Thai ESG ที่ปกติจะเข้ามาลงทุนในช่วงปลายปีอยู่แล้ว ดังนั้นจึงต้องจับตาในช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของปีนี้ ว่าจะมีเม็ดเงินเข้ามามาน้อยเพียงใด ซึ่งหากเข้ามาตามที่คาดหวังไว้ประมาณ 1 หมื่นล้าน ก็จะช่วยให้ดัชนีมีโอกาสฟื้นตัวได้
โดยหุ้นแนะนำวันนี้ ได้แก่ AWC แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 4.40 บาท เนื่องจากช่วงนี้เป็นฤดูกาลท่องเที่ยว ตัวเลขนักท่องเที่ยวสัปดาห์ล่าสุด (8-15 ธ.ค.67) เพิ่มขึ้น 10% จากสัปดาห์ก่อนหน้า มาอยู่ที่ระดับ 770,000 คน ดังนั้นหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวมีโอกาสได้รับประโยชน์จากปัจจัยนี้
รวมถึงหุ้น CPALL แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ราคาพื้นฐาน 80 บาท เนื่องจากราคาหุ้นปรับตัวลดลงมาอย่างหนัก และล่าสุดทาง CPAXT ออกมาชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นข่าวแล้ว ทำให้มองว่าเซนติเมนต์ของกลุ่มนี้ดูเป็นบวกขึ้น แนะนำหาจังหวะในการเข้าเก็งกำไรไปก่อน เนื่องจากต้องรอดูท่าทีกองทุนในสัปดาห์หน้าว่าจะมีมุมมองต่อการลงทุนของ CPAXT อย่างไร
ขณะที่ประเด็นการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันนี้ มองว่าจะยังคงดอกเบี้ยที่ 2.25% แต่หากมีเซอร์ไพรซ์ลดดอกเบี้ยจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นได้
ส่วนฝั่งของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ทางคอนเซนซัสมองว่าจะลดดอกเบี้ยลงในครั้งนี้อีก 0.25% มาเหลือ 4.50% แต่สิ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจต่อไปคือทิศทางเศรษฐกิจและดอกเบี้ยในปี 68 ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป เนื่องจากในช่วงปลายปีนี้ หรือเดือนหน้า ทาง นายโดนัลด์ ทรัมป์ จะเข้ามาเป็นประธานาธิบดี และโนบายต่างๆ ของ ทรัมป์ อาจทำให้ตัวเลขเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อ ชะลอตัวลงได้ยาก และอาจจะทำให้การลดดอกเบี้ยล่าช้าออกไป