NEO รุกตลาด “FMCG” เปิดตัวสินค้าใหม่ เน้นบริหารต้นทุน-ขยายพอร์ตฯ เต็มสูบ
NEO รุกอุตสาหกรรม “FMCG” โค้งสุดท้าย ชูการบริหารงานยืดหยุ่นรับสถานการณ์ทุกมิติที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและเป็นบริษัท FMCG แห่งนวัตกรรมของเอเชีย รุกเปิดตัวสินค้าใหม่ ออกบรรจุภัณฑ์ขนาดสุดคุ้ม จัดโปรโมชัน รับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคมองหาความคุ้มค่า พร้อมมุ่งบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
นางปัทมา ถกลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการพาณิชย์ บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) หรือ NEO ผู้ทำการตลาด ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคชั้นนำของประเทศไทย เปิดเผยว่า แผนธุรกิจไตรมาส 4 บริษัทฯ มุ่งบริหารงานที่ยืดหยุ่น โดยปรับให้สอดคล้องกับสถานการณ์ของตลาดที่เปลี่ยนไปในทุกมิติ เพื่อรับกับสถานการณ์อุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภค (FMCG) ที่เผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ประกอบกับผู้บริโภคมีแนวโน้มเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้จ่ายโดยมองหาสินค้าที่คุ้มค่าจากการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย แต่ยังมีปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยวและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐและเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองส่งท้ายปลายปี สร้างบรรยากาศให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย
ทั้งนี้ ในช่วงโค้งสุดท้ายของปี บริษัทฯ เดินหน้าเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ อาทิ เอเวอร์เซ้นส์ x ดีนี่ ออร์แกนิค อโล บอดี้ มิสท์ โคโลญที่ตอบโจทย์สาว ๆ ที่ชื่นชอบในกลิ่นหอมแนวแป้งเด็ก ที่ให้กลิ่นหอม อ่อนโยน ให้ฟีลกลับมาเป็นเด็กอีกครั้ง และออกบรรจุภัณฑ์ขนาดสุดคุ้ม บีไนซ์ โกลว์ แอนด์ เพอร์ฟูม ไลชี่ แอนด์ โรส คอลลาเจน บอดี้ เซรั่ม แพ็คคู่ ตลอดจนจัดโปรโมชันและกิจกรรมส่งเสริมการขายเพื่อลดค่าครองชีพให้กับผู้บริโภค ครอบคลุมทุกช่องผ่านทางร้านค้าปลีกสมัยใหม่ (Modern Trade) ร้านค้าปลีกดั้งเดิม (Traditional Trade) และแพลตฟอร์มออนไลน์ เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงไตรมาส 4 อย่างต่อเนื่อง
อีกทั้งในปีนี้ บริษัทฯ ได้เดินหน้ากลยุทธ์รุกขยายพอร์ตโฟลิโอผลิตภัณฑ์กลุ่มพรีเมียมแมส (Premium Mass) และกลุ่มพรีเมียม (Premium) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่สร้างมูลค่าและสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง นอกจากเป็นการเพิ่มยอดขายให้กับบริษัทฯ ยังส่งผลต่ออัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์ในสถานการณ์ต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยหลังจากได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์พรีเมียมแมส อาทิ ผลิตภัณฑ์ “ดีนี่ ดีลักซ์” (D-nee Deluxe) สามารถสร้างยอดขายเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึง 115% ในงวด 9 เดือน ปี 2567 และผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ในตลาดอยู่แล้ว เช่น ไฟน์ไลน์ปรับผ้านุ่ม แอลลิแกนซ์ สูตรเข้มข้นพิเศษ สามารถทำยอดขายได้เป็นที่น่าพอใจเป็นอย่างมาก โดยบริษัทฯ วางเป้าหมาย 3 ปี (2567-2569) สัดส่วนรายได้กลุ่มผลิตภัณฑ์กลุ่มพรีเมียมแมส (Premium Mass) เพิ่มจาก 5% ของยอดขาย เพิ่มเป็น 10% ของยอดขายในปี 2569 ในส่วนการบริหารกระบวนการผลิตและห่วงโซ่อุปทานให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
นางสาวณิศรา ถกลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายปฏิบัติการ NEO กล่าวว่า สถานการณ์น้ำมันปาล์มมีราคาแปรผันตามอุปสงค์และอุปทานของตลาดโลก (Demand and Supply) ซึ่งเป็นไปตามวัฏจักรของธรรมชาติและเกิดขึ้นในระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งราคาเฉลี่ยของน้ำมันเมล็ดในปาล์ม (Palm Kernal Oil) ในรอบ 11 เดือนที่ผ่านมา ไม่ได้ปรับราคาสูงขึ้นหรือรุนแรงเมื่อเทียบกับปี 2565 ที่ราคาเฉลี่ยอยู่ประมาณ 1,617 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน เนื่องจากตอนนั้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (one-time) จากการแพร่ระบาดโควิด 19 ส่งผลให้เกษตรกรไม่สามารถเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ รวมทั้งค่าระวางเรือที่สูงขึ้นเนื่องจากตู้สินค้าไม่เพียงพอหลายเดือน
สำหรับสถานการณ์ราคาที่ผันผวนในช่วงเวลานี้ หากอิงตามวัฏจักรและสถิติที่ผ่านมา สามารถคาดการณ์แนวโน้มที่ราคาวัตถุดิบการผลิตสารลดแรงตึงผิวซึ่งมีน้ำมันเมล็ดในปาล์มเป็นสารตั้งต้น (Palm Kernal Oil) มีโอกาสที่จะลดลงในช่วงไตรมาส 2/2568 โดยมีปัจจัยหลักจากอุปสงค์ของโลก โดยเฉพาะความต้องการน้ำมันปาล์มของประเทศจีนและอินเดียลดลงหลังผ่านพ้นเทศกาลตรุษจีน และเทศกาลดิวาลี
นอกจากนี้ แม้ราคาเฉลี่ยของสารตั้งต้นวัตถุดิบหรือน้ำมันเมล็ดในปาล์มของตลาดโลกจะเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 36 จากปี 2566 แต่ราคาเฉลี่ยวัตถุดิบหรือสารลดแรงตึงผิวของบริษัทฯ มีราคาเพิ่มขึ้นในอัตราส่วนที่น้อยกว่ามาก เนื่องด้วยบริษัทฯ มีการจัดหาวัตถุดิบจากซัพพลายเออร์หลายราย ทำให้ได้ราคาที่ดีที่สุด นอกจากนี้บริษัทฯ ได้ทำสัญญาซื้อขายวัตถุดิบล่วงหน้าระยะเวลา 3 เดือน และ 6 เดือน ทำให้เห็นราคาล่วงหน้า จึงสามารถมุ่งจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายส่วนอื่นๆ ร่วมด้วย เพื่อให้การบริหารต้นทุนเกิดประสิทธิภาพสูงสุดและสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน