“ดาวโจนส์” ปิดเด้ง 498 จุด รับเงินเฟ้อสหรัฐต่ำกว่าคาด คลายกังวลดอกเบี้ย
“ดาวโจนส์” ปิดเด้ง 498.02 จุด หลังเงินเฟ้อสหรัฐต่ำกว่าคาด ขณะที่เฟดได้คลายความกังวลแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (21 ธ.ค.67) ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกในวันศุกร์ (20 ธ.ค.) โดยการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่ต่ำกว่าคาด และความเห็นจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ได้คลายความวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ย
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 42,840.26 จุด เพิ่มขึ้น 498.02 จุด หรือ +1.18%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 5,930.85 จุด เพิ่มขึ้น 63.77 จุด หรือ +1.09% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,572.60 จุด เพิ่มขึ้น 199.83 จุด หรือ +1.03%
ดัชนีดาวโจนส์และ S&P500 ปรับตัวขึ้นวันเดียวคิดเป็นเปอร์เซ็นต์มากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 6 พ.ย. แต่ในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ติดลบ 2.25%, ดัชนี S&P500 ลดลง 1.99% และดัชนี Nasdaq ปรับตัวลง 1.78%
ขณะที่หุ้นทั้ง 11 กลุ่มของดัชนี S&P500 ปิดบวก นำโดยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเพิ่มขึ้น 1.8% และได้แรงหนุนจากการลดลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ
ดัชนี Russell 2000 ของหุ้นขนาดเล็กซึ่งมีแนวโน้มจะได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงนั้น ทะยานขึ้น 0.9%
กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยในวันศุกร์ว่า ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลทั่วไป (Headline PCE) ซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน ปรับตัวขึ้น 2.4% ในเดือนพ.ย. เมื่อเทียบรายปี ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 2.5% จากระดับ 2.3% ในเดือนต.ค.
ทั้งนี้การใช้จ่ายส่วนบุคคลของผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือนพ.ย. แต่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ระดับ 0.5% หลังจากเพิ่มขึ้น 0.3% ในเดือนต.ค.
หลังจากการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าว นักลงทุนได้เพิ่มความคาดหวังเล็กน้อยเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปี 2568 โดยคาดการณ์ในขณะนี้ว่า เฟดจะปรับลดครั้งแรกในเดือนมี.ค. และอีกครั้งภายในเดือนต.ค. โดยก่อนการเปิดเผยข้อมูล นักลงทุนคาดว่ามีโอกาสประมาณ 50% ที่จะมีการปรับลดดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ภายในเดือนธ.ค. 2568
เมื่อวันพุธ (18 ธ.ค.) เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเป็นครั้งที่ 3 ของปี แต่คาดการณ์ในรายงานสรุปการคาดการณ์เศรษฐกิจว่า จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้งในปี 2568 ครั้งละ 0.25% ซึ่งลดลงจากการคาดการณ์ในเดือนก.ย.ที่เคยคาดว่าจะมีการปรับลดดอกเบี้ย 4 ครั้ง ซึ่งสะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงแข็งแกร่งและเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูง
ส่วนอีกปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนตลาดคือถ้อยแถลงจากเจ้าหน้าที่เฟดบางรายที่ยอมรับว่า พวกเขาเริ่มนำความไม่แน่นอนด้านนโยบายการคลัง เช่น ภาษีศุลกากร มาพิจารณาในการคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ตลาดยังคงจับตาดูความเคลื่อนไหวของสภาคองเกรสสหรัฐฯ ซึ่งเร่งดำเนินการเพื่อหลีกเลี่ยงการปิดทำการของหน่วยงานรัฐบาลบางส่วนก่อนถึงกำหนดเส้นตายเวลาเที่ยงคืน โดยผู้นำพรรครีพับลิกันในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ระบุว่า พวกเขาจะลงมติในวันศุกร์เพื่อให้รัฐบาลกลางสหรัฐฯ ดำเนินงานต่อไปได้