PTG วางงบลงทุนปี 68 แตะ 7 พันล้าน เน้นปรับปรุง “สถานีบริการปั๊มน้ำมัน” ดันเป้าโต 10%

PTG อัดงบลงทุนปี 68 อยู่ที่ 6,000-7,000 ล้านบาท เน้นปรับปรุง “สถานีบริการปั๊มน้ำมัน” อย่างน้อยประมาณ 70-80 สถานี หวังหนุนในธุรกิจน้ำมันเติบโตประมาณ 8-10% และคาดหวังว่ากำไรขั้นต้นของธุรกิจนอนออยล์จะเติบโต 30%


นายรังสรรค์ พวงปราง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานการเงินและความยั่งยืน บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า ปกติบริษัทฯตั้งงบลงทุนไว้ไม่เกินกระแสเงินสดที่บริษัทฯหาได้ในแต่ละปีอยู่แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทพยายามควบคุมมาโดยตลอดเพื่อปิดกั้นความเสี่ยง และพร้อมตั้งรับหากเกิดปัญหาวิกฤต

สำหรับงบลงทุนในปี 2568 บริษัทฯตั้งเป้าไว้ประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท โดยเกือบ 50% จะเป็นการลงทุนในสถานีบริการปั๊มน้ำมัน เนื่องจากจะมีการปรับปรุงสถานีบริการปั้มน้ำมันอย่างน้อยประมาณ 70-80 สถานี ซึ่งใช้งบทางด้านของการปรับปรุงประมาณ 1,500 ล้านบาท ไม่รวมกับตั้งสถานีใหม่ๆ ส่วนร้านกาแฟพันธุ์ไทยจะมีการขยายสาขาไม่ต่ำกว่า 600 สาขาในส่วนของปีหน้า

โดยทำให้ประเมินว่าปี 2568 กำไรขั้นต้นของธุรกิจออย และนอนออยล์เติบโตไปตามที่บริษัทตั้งเป้าเอาไว้ สำหรับธุรกิจนอนออยล์พอร์ตจะเติบโต 25% ปรับขึ้นมาจาก 21% ของจากปีก่อนหน้า ดังนั้นในปี 2568 คาดหวังว่ากำไรขั้นต้นของธุรกิจนอนออยล์จะเติบโต 30%

ทั้งนี้ หากแบ่งตามประเภททางธุรกิจออยจะลดบทบาทลง แต่จะลดบทบาทลงไม่มาก ซึ่งบริษัทจะเน้นไปการปรับปรุงสถานีบริการเป็นส่วนใหญ่เกือบ 60-70% ของงบลงทุนทางด้านสถานีบริการจากแบบเก่าให้เป็นสถานีใหม่ที่เป็นโมเดิร์นมากขึ้นเพราะเป็นสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าถ้าปรับโมเดลของปั๊มน้ำมันให้ทันสมัยขึ้นนั้น จะสามารถเพิ่มยอดขายมากพอสมควรและคุ้มค่ากับการที่อินโนเวทนั่นเอง

นายรังสรรค์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับราคาน้ำมันในตลาดโลกปีหน้าคาดว่าจะไม่แตกต่างจากราคาในปีนี้มากสักเท่าไหร่นักหากภาวะปกติ เพราะราคาน้ำมันในปัจจุบันถือว่าเป็นการสร้างสมดุลระหว่าง ซัพพลายกับดีมานด์พอสมควรสำหรับในประเทศไทยถือว่าซัพพลายยังโอเวอร์กว่าดีมานด์อยู่ซึ่งจะยังเป็นผลบวกต่อทางด้านพีทีจี

ส่วนด้านค่าการตลาดในปีหน้าทางบริษัทฯ หวังว่าจะใกล้เคียงกับปี 2567 แต่วอลุ่มจะไม่โตเท่าในปี 2567 เนื่องจากบริษัทมีฐานที่ใหญ่ขึ้น ดังนั้นทำให้บริษัทมีการเปิดไปยังธุรกิจอื่นๆมากขึ้น การที่เพิ่มกำไรขั้นต้นที่มาจากธุรกิจนอนออยล์มากขึ้นจะทำให้บริษัทรักษาเสถียรภาพ

สำหรับในกรณีของการ Spin Off บริษัทลูกเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ เช่นในส่วนของบริษัท แอตลาส เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) (ATLAS) จะมีความล่าช้าไปหนึ่งปี ดังนั้นในปีหน้าคาดว่าจะเห็นภาพชัดเจนมากขึ้นในช่วงต้นปี

ขณะที่บริษัท กาแฟพันธุ์ไทย จำกัด มีการตั้งเป้าเอาไว้ว่าจะ Spin Off เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ในช่วงปลายปี 2569 หรือในปี 2570 ซึ่งถือว่ายังไม่ดีเลย์เพราะบริษัทมีการเตรียมการไปได้ระดับหนึ่งแล้วโดยตัวสภาพของบริษัท

และบริษัท ทริปเปิ้ล ที เอ็นเท็ค จำกัด ยังไม่ได้ตั้งความหวังว่าจะ Spin Off เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯได้เร็วๆนี้ ซึ่งอย่างน้อยใช้เวลาอีกสองปีเป็นต้นไป แต่ล่าสุด บริษัทยังคงสามารถทำกำไรได้ดีต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดน้ำมันพืชการบริโภคยังทำให้ยอดการผลิตเติบโตค่อนข้างดี

“อย่างไรก็ตามในปี 2568 มีการตั้งเป้าในธุรกิจน้ำมัน จะเติบโตประมาณ 8-10% ส่วนกิจการกาแฟพันธุ์ไทย ตั้งเป้าเอาไว้ราว 1,000 ล้านบาท โดยปีหน้าคาดว่าจะขยายสาขาของร้านกาแฟพันธุ์ไทยได้อย่างน้อย 2,000 สาขา รวมถึงในส่วนของธุรกิจทางด้านของ Subway จะขยาย 30 สาขา ซึ่ง Subway ถือว่าเป็นธุรกิจที่สร้างผลตอบแทนได้ดี เนื่องจากทำกำไรได้มาตั้งแต่บริษัทได้ไปรับสิทธิ์ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 ที่ผ่านมา และในส่วนของธุรกิจพลังงานทดแทน ปีหน้าโรงไฟฟ้าอาจจะไม่สูงมากเพราะสามารถรับรู้รายได้ประมาณไตรมาส 4″ นายรังสรรค์ กล่าวทิ้งท้าย

Back to top button