“กรุงศรี” เปิดมุมมอง “กลุ่มโรงพยาบาล” หลังเริ่มใช้ประกัน Co-Pay มี.ค.68
“บล.กรุงศรี” เปิดมุมมองหุ้นกลุ่มโรงพยาบาล หลังคาดว่าจะเริ่มใช้ประกัน Co payment ช่วง มี.ค.68 ชี้ THG มีผลกระทบเยอะสุด และ BH กระทบน้อยสุด พร้อมชู BDMS เป็นหุ้นเด่น แนะซื้อเป้า 37.50 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีภาคธุรกิจประกันเสนอแนวปฏิบัติต่อสำนักงาน คปภ. ในการควบคุมค่าใช้จ่ายด้านรักษาพยาบาลให้มีความเหมาะสม เพื่อไม่ให้เบี้ยประกันภัยสูงจนผู้เอาประกันไม่สามารถเข้าถึงได้ คาดการณ์ว่าจะเริ่มใช้ตั้งแต่เดือน มี.ค. 68 โดยเบื้องต้นได้กำหนด 3 หลักเกณฑ์
ได้แก่ 1.กำหนดหลักเกณฑ์ให้มีค่าใช้จ่ายร่วม (Copayment) ในเงื่อนไขการต่ออายุสัญญาเพิ่มเติมกรณีครบรอบปีกรมธรรม์ประกันภัย (Renewal) หากผู้เอาประกันภัยมีการเคลมเกินความจำเป็นทางการแพทย์ หรือมีการเคลมด้วยกลุ่มโรคป่วยเล็กน้อยทั่วไป (Simple Diseases) ตั้งแต่ 3 ครั้งขึ้นไป และมีอัตราการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนของผู้เอาประกันภัย แต่ละรายในรอบปีกรมธรรม์ประกันภัยตั้งแต่ 200% ของเบี้ยประกันภัยในปีต่ออายุ
2.กำหนดให้มีการจ่ายค่าธรรมเนียมในการศัลยกรรมและการทำหัตถการของแพทย์ ตามอัตราค่าธรรมเนียมในการศัลยกรรมและการทำหัตถการของแพทย์ไม่เกิน 100% ของค่าธรรมเนียมแพทย์ที่ 90 เปอร์เซ็นต์ไทล์ ตามที่กำหนดในคู่มือค่าธรรมเนียมแพทย์ของแพทยสภาประเทศไทย เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายในส่วนค่าธรรมเนียมแพทย์
3.พิจารณาปรับปรุงหลักเกณฑ์เฉพาะกลุ่มการป่วยเล็กน้อยทั่วไป (Simple Diseases) สำหรับเด็กอายุ 3-5 ปี เพื่อให้หลักเกณฑ์มีความเหมาะสม และสอดคล้องกับเด็ก ซึ่งเปราะบางกว่ากลุ่มอายุอื่น
ด้านมาตรฐานประกันสุขภาพใหม่ปี 64 กำหนดการป่วยเล็กน้อย (Simple diseases) หมายถึง การป่วยเล็กน้อยทั่วไปใน 5 กลุ่มโรคตามระบบ ICD-10 ได้แก่ 1.โรคระบบทางเดินหายใจส่วนบนอักเสบ (Upper Respiratory Tract Infection) 2.โรคไข้หวัดใหญ่ (Influenza) 3.ท้องเสียเฉียบพลัน (Acute Diarrhea) 4.โรคเวียนศีรษะ (Vertigo) 5.โรคอื่นๆ ที่บริษัทประกาศกำหนด โดยไม่ปรากฎโรคหรือภาวะแทรกซ้อน หรือเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการรุนแรงหรือป่วยด้วยโรคอื่นตามมา
ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ฝ่ายวิจัยได้รวมสัดส่วนรายได้จากประกันภายในประเทศ (Local Insurance) ของกลุ่มโรงพยาบาลที่ศึกษา 5 บริษัท พบว่า THG มีสัดส่วนราว 32% มากสุด รองมาเป็น BDMS มีสัดส่วน 31% ส่วน BCH, CHG มีสัดส่วนใกล้เคียงกันที่ 25% และ BH มีสัดส่วน 12% น้อยสุด
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยสอบถามกับโรงพยาบาลที่ศึกษาระบุ การให้บริการรักษาโรคเล็กน้อยทั่วไป (Simple diseases) ไม่ใช่บริการหลัก ทั้งนี้ลองประเมิน Sensitivity รายได้จากโรคเล็กน้อยทั่วไปมีสัดส่วนระหว่าง 5%-20% ของรายได้ประกันรายโรงพยาบาลคาดการณ์ว่าจะมีผลกระทบต่อรายได้และกำไรปกติปี 68 ของกลุ่มโรงพยาบาลที่ศึกษาราว 1%-6% และ 1%-8% ตามลำดับ
โดยเบื้องต้นประเมินกรณีแย่สุดภายใต้สมมติฐานรายได้จากกลุ่มโรคเล็กน้อยทั่วไปมีสัดส่วนราว 20% ของรายได้ประกันรายโรงพยาบาล และการใช้บริการประเภทนี้มีผลกระทบจากเกณฑ์ Copayment คาดการณ์ว่าจะมีผลกระทบจำกัดต่อกลุ่มโรงพยาบาลที่ศึกษา โดยคาดการณ์ว่าจะมีผลกระทบต่อรายได้และกำไรปกติปี 68 ราว 2%-6% และ 3%-8% ตามลำดับ
สำหรับโรงพยาบาลที่คาดการณ์ว่าจะมีผลกระทบมากสุดตามสมมติฐานคือ THG ขณะที่ BH จะมีผลกระทบน้อยสุด โดยแนะนำ Bullish สำหรับกลุ่มการแพทย์ เนื่องจาก 1) กลุ่มผู้สูงอายุที่มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ทำให้ Intensity ค่ารักษาโรคยากซับซ้อนของโรงพยาบาลมีแนวโน้มสูงขึ้น 2) คาดการปรับตัวของกลุ่มลูกค้าประกัน จะทำให้ประกันแบบ Copayment มีผลกระทบจำกัดต่อกลุ่มฯ 3) การการันตีจ่ายค่า รักษาประกันสังคม RW>2 สำหรับงบฯ ปี 68 ทำให้รายได้ประกันสังคมปี 68 มีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น และ 4) ได้ประโยชน์จากการเติบโตของตลาด Medical Tourism
นอกจากนี้ พิจารณา Valuation ของกลุ่มฯ ซื้อขายเทียบเท่า Forward PE ปี 68 ใกล้เคียง -1.0SD โดยหุ้นเด่นเลือก BDMS (แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 37.50 บาท) เนื่องจาก Capacity พร้อมรับการเติบโตระยะยาว, ส่วนผสมลูกค้ากระจายตัวทั้งชาวไทยและต่างชาติ