จับตา! หุ้นลงลึกเป้า Cover Short ชู CPALL-TOP พ่วงกลุ่ม รพ. นำทีม
ตลาดหุ้นไทยอยู่ในช่วงรีบาวด์ ลุ้นแรงซื้อกองทุน SSF และ Thai ESG โบรกฯ ชู 2 หุ้นเด่นรับมาตรการดิจิทัล เฟส 2 คือ HMPRO BJC บวกกับการทำ Cover Short หุ้นที่ราคาลงไปมาก CPALL และ TOP และยังมีแรงซื้อจากช่วง Santa Rally
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (25 ธ.ค.) ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ บวก 6.18 จุด ปิดที่ 1,400.85 จุด เปลี่ยนแปลง 0.44% มูลค่าการซื้อขาย 28,672 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ (SET) 1,169 ล้านบาท ต่างชาติขายสุทธิ 22 ล้านบาท บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 267 ล้านบาท และนักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ 880 ล้านบาท
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้บวกได้เล็กน้อยขึ้นมาทดสอบ 1,400 จุด รีบาวด์ช่วงสั้น แต่มูลค่าการซื้อขายเบาบาง เนื่องจากคาบเกี่ยววันหยุดเทศกาลคริสต์มาสยาวไปจนปีใหม่ ขณะเดียวกันได้แรงหนุนจากหุ้นที่มีประเด็นเฉพาะตัว เช่น บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP อย่างไรก็ดีภาพโดยรวมไม่ได้มีประเด็นใหม่เข้ามาสนับสนุน ส่วนแนวโน้มวันนี้คาดตลาดฯ แกว่งไซด์เวย์ออกด้านข้าง เนื่องจากเริ่มไร้ปัจจัยใหม่เข้ามาหนุนแล้ว ให้แนวรับ 1,390 จุด และแนวต้าน 1,410 จุด
นายชัยยศ จิวางกูร ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS เผยว่า ดัชนีหุ้นไทยยังอยู่ในช่วงของการรีบาวด์ เนื่องจากแรงขายของต่างชาติจะเริ่มลดลงในช่วงท้ายปีตามเทศกาล ขณะที่เม็ดเงินของนักลงทุนสถาบันจะเริ่มมีผล ทั้งกองทุน SSF และ Thai ESG
ทั้งนี้ แนะนำเลือกลงทุนในหุ้นที่เป็นเป้าหมายของกองทุน รวมถึงหุ้นที่ถูกแรงขายออกมาเยอะก่อนหน้านี้ เช่น กลุ่มค้าปลีก ที่ไม่ได้มีข่าวอะไร แต่ราคาปรับตัวลดลงไปแรง หรือกลุ่มโรงพยาบาล ที่ราคาลงไปลึกทั้งที่ไม่มีปัจจัยลบรุนแรง ซึ่งหุ้นในกลุ่มนี้มีโอกาสถูก Cover Short ได้ ส่วนหุ้นกลุ่มอาหารยังสามารถซื้อสะสมได้ โดยผลประกอบการในช่วงไตรมาส 4 อาจไม่โดดเด่นมากนัก หลังผ่านช่วงไฮซีซั่นไปแล้วในไตรมาส 3
สำหรับหุ้นที่โดดเด่นและไม่รวมกับหุ้นในกลุ่มซีพี ได้แก่ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO เนื่องจากยอดขายจากสาขาเดิมในช่วงเดือน ต.ค.-พ.ย. ปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างดี ซึ่งมาจากการซ่อมแซมบ้าน และซื้อเฟอร์นิเจอร์ รวมถึงบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ได้ประโยชน์จากมาตรการเงินดิจิทัล เฟส 2 หนุนหุ้นในกลุ่มค้าปลีก
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 2568 ยังมีแนวโน้มดีต่อเนื่อง จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงเม็ดเงินที่จะเข้ามาลงทุน Data Center แต่ยังต้องจับตาในส่วนของตัวเลข GDP ว่าจะขยายตัวมากน้อยเพียงใด ขณะที่ประเด็นเทรดวอร์ของสหรัฐฯ มองว่าไม่ได้กระทบกับตลาดหุ้นไทยอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะเดียวกัน มองมูลค่าของตลาดหุ้นไทยปัจจุบันยังไม่แพงมาก โดยมองว่าระดับ 1,400 จุด +- เป็นจุดในการเข้าซื้อ และหุ้นกลุ่มที่เด่นสุดคือกลุ่มธนาคาร เนื่องจากมองว่าหากเศรษฐกิจเติบโต สินเชื่อก็จะเติบโตตาม อีกทั้งรัฐบาลเริ่มเข้าไปดูแลลูกหนี้ ซึ่งจะช่วยให้หนี้เสีย (NPL) ชะลอตัวลงได้ และอีกกลุ่มที่โดดเด่นคือ ICT หรือกลุ่มท่องเที่ยว อาทิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT โดดเด่นตามตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เติบโต
นายณรงค์เดช จันทรไพศาล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ไอร่า จำกัด กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวานนี้ดัชนีแกว่งตัวออกด้านข้างกรอบจำกัด เนื่องจากยังไร้ปัจจัยใหม่เข้ามาขับเคลื่อนดัชนี โดยการปรับตัวขึ้นวานนี้มองว่าเป็นการ Cover Short หุ้นใหญ่ที่ราคาปรับลงไปมากในช่วงที่ผ่านมา อาทิ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL, บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT และบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP
พร้อมทั้งให้กรอบแนวรับ 1,395 จุด ถัดไปที่ 1,390 จุด และแนวต้าน 1,403 จุด หากผ่านไปได้ให้แนวต้านกัดไปที่ 1,410 จุด
นักวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด ระบุเช่นกันว่า ขณะนี้ตลาดทุนกำลังเข้าสู่ช่วง Santa Rally โดย SET เข้าสู่ช่วงวันส่งท้ายปี ทั้งนี้หากย้อนดูสถิติย้อนหลัง 10 ปีที่ผ่านมา ดัชนีฯ มีโอกาสสูงถึง 80% ที่จะให้ผลตอบแทนเป็น “บวก” เฉลี่ย 0.3-0.9% ในช่วง 3-7 วันทำการสุดท้ายก่อนสิ้นปี ขณะเดียวกันมีโอกาสที่จะเกิด Window dressing ช่วงปลายปีนี้ จาก 3 เหตุผลหลัก
คือ 1.Valuation ของดัชนีฯ อยู่โซนล่าง และราคาหุ้นลงมามากแล้วเข้าเขต Oversold ประกอบกับการเข้าสู่ High season ของภาคท่องเที่ยว และบริโภค รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ คาดช่วยหนุนเศรษฐกิจไทยเร่งตัวต่อในไตรมาส 4/2567-1/2568
2.เม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์ที่คาดว่ายังเหลือเงินอยู่ไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท มีโอกาสเข้ามาหนุนดัชนีฯ ให้ “แรลลี่” ส่งท้ายปีได้ และ 3.เม็ดเงินจากกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) ที่ทยอยเข้ามามากขึ้นช่วงปลายปี ซึ่งส่วนใหญ่ลงทุนกระจุกตัวในหุ้นขนาดใหญ่ที่มี ESG rating ระดับ A-AAA
สำหรับคำแนะนำ “ซื้อ” โดยมีหุ้นที่เป็นเป้าหมายของการทำ Window dressing คือ หุ้นบริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA หุ้นบริษัท คาราบาวกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CBG หุ้นบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL หุ้นบริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 หุ้นบริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL
หุ้นบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK หุ้นบริษัท ซีเค พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ CKP หุ้นบริษัท โรงแรมเซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL หุ้นบริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC หุ้นบริษัท โรงพยาบาลพระรามเก้า จำกัด (มหาชน) หรือ PR9 หุ้นธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB