“ทองนิวยอร์ก” ปิดลบ 22 ดอลลาร์ เซ่นบอนด์ยีลด์พุ่ง

 “ทองนิวยอร์ก” ปิดร่วง 22 ดอลลาร์ หลังถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค. ที่ผ่านมา


ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ (28 ธ.ค. 67) สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์ก ปิดลบในวันศุกร์ 27 ธ.ค. เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นได้ลดความน่าสนใจของทองคำซึ่งไม่มีผลตอบแทนในรูปอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ตลาดมุ่งความสนใจไปที่การกลับเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ และผลกระทบที่นโยบายก่อเงินเฟ้อของเขาจะมีต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของ ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในปี 2568

ทั้งนี้ สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนก.พ. ลดลง 22.00 ดอลลาร์ หรือ 0.8% ปิดที่ 2,631.90 ดอลลาร์/ออนซ์

ขณะที่ ดัชนีดอลลาร์ปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 4 ติดต่อกัน ซึ่งลดความน่าสนใจของทองคำ เนื่องจากทำให้ราคาทองคำแพงขึ้นสำหรับผู้ถือสกุลเงินอื่น ขณะที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีปรับตัวใกล้ระดับสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 2 พ.ค. หลังเข้าทดสอบในวันพฤหัสบดี

ในรอบปีนี้ ราคาทองคำพุ่งขึ้นแล้ว 28% และทำสถิติสูงสุดที่ 2,790.15 ดอลลาร์เมื่อวันที่ 31 ต.ค. โดยได้แรงหนุนจากการลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงมีมุมมองเชิงบวกสำหรับปี 2568 แม้ว่าเฟดคาดการณ์ถึงการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่น้อยลง แต่พวกเขามองว่า ความตึงเครียดทางการเมืองในหลายพื้นที่ทั่วโลกจะยังคงเพิ่มขึ้น ธนาคารกลางต่าง ๆ จะยังคงซื้อทองคำอย่างต่อเนื่อง และจะเกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองเมื่อโดนัลด์ ทรัมป์กลับเข้าสู่ทำเนียบขาวในเดือนมกราคม

ส่วนนโยบายภาษีและการปกป้องการค้าของทรัมป์นั้นคาดว่าจะกระตุ้นให้เกิดสงครามการค้า ซึ่งจะเพิ่มความน่าสนใจของทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย

นักวิเคราะห์กล่าวว่า ในปีหน้า หากธนาคารกลางยังคงซื้อทองคำต่อไป ก็คาดว่าราคาทองคำอาจแตะระดับ 3,000 ดอลลาร์ภายในช่วงฤดูร้อน หากทองคำยังคงปรับตัวขึ้นในอัตรานี้

ทั้งนี้ ทองคำมักจะเป็นที่นิยมในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์มีความตึงเครียด และราคาทองคำมักจะปรับตัวขึ้นในสภาพแวดล้อมที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ

Back to top button