จากปี “งูใหญ่”สู่ “งูเล็ก” เศรษฐกิจไทย วัดผลงานรัฐบาล “แพทองธาร” คว้า “โอกาส” สู่อนาคต
จากปี “งูใหญ่”สู่ “งูเล็ก” เศรษฐกิจไทย วัดผลงานรัฐบาล “แพทองธาร” คว้า “โอกาส” สู่อนาคต
ปี 2567 เป็นปีที่ “การเมืองไทย” มีการเปลี่ยนแปลงสำคัญ รวมถึง “เศรษฐกิจไทย” ยังคงมีความซับซ้อนและความไม่แน่นอนสูง ทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ที่ส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่ากว่าจะผ่านปีนี้มาได้ต้อง หกล้มหกลุกกันน่าดู…
1 ปี มีนายกรัฐมนตรี 2 คน
การเปลี่ยนแปลงของการเมืองไทย ในปี 2567 ที่สำคัญ คือการที่ประเทศไทย มีนายกรัฐมนตรีถึง 2 คนในปีเดียวกัน จุดพลิกผัน นั้นคือสิ่งที่เกิดขึ้นกับ นายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งดำรงตำแหน่ง “นายกรัฐมนตรีคนที่ 30” ต้องพ้นจากตำแหน่งตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 14 ลิงหาคม โดยศาลได้ตัดสินว่า นายเศรษฐาขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่ง เนื่องจากไม่ซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีการฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรง ในกรณีการแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี ซึ่งทำให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) สิ้นสุดทั้งคณะ และเกิดช่องว่างในการบริหารงานของรัฐบาล
แต่หลังจากนั้นเพียง 2 วัน สภาผู้แทนราษฎร ได้มีมติเห็นชอบ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เป็น นายกรัฐมนตรี คนที่ 31 ของประเทศไทย โดยได้รับคะแนนเสียง 391 เสียง ต่อ 145 เสียง งดออกเสียง 27 เสียง และมีผู้ไม่มาลงคะแนน 2 เสียง คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ซึ่งเป็น สส. ของพรรคเพื่อไทยเอง และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส. และ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น ในปลายเดือนสิงหาคม ระหว่างฟอร์ม “ครม.แพทองธาร 1” ได้เกิดเหตุพลิกล็อกขั้นพรรคร่วมรัฐบาลเดิมต้องแตกหัก เมื่อ “พรรคเพื่อไทย” ตัดสินใจปรับสูตรการเมืองด้วยการดึงศัตรูเก่ามาเป็นมิตร โดยการทิ้ง “พลังประชารัฐ” และหันไปเชิญ “พรรคประชาธิปัตย์” เข้าร่วมรัฐบาลแทน สะท้อนการสร้างความร่วมมือทางการเมืองใหม่ ๆ และเปิดโอกาสให้เห็นถึงพลวัตใหม่ในระบบการเมือง ที่อาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพและการบริหารประเทศในระยะยาว
ปี’67 เศรษฐกิจไทย เกือบไม่รอด?
ด้านเศรษฐกิจนั้น ปี 2567 ประเทศไทยเผชิญกับความท้าทายอย่างมาก ซึ่งทำให้เศรษฐกิจไทยเกือบไม่สามารถฟื้นตัวได้เต็มที่ หลังจากวิกฤตโควิด-19 โดยเฉพาะในเรื่องของอัตราเงินเฟ้อที่เป็นปัญหาทั่วโลก การเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตจากราคาวัตถุดิบและพลังงานที่สูงขึ้นส่งผลกระทบต่อการผลิตและกำลังซื้อของผู้บริโภค นอกจากนี้ความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์และความตึงเครียดจากสงครามในหลายพื้นที่ ก็ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลก
นอกจากนี้ ยังเป็นปีที่เศรษฐกิจไทยเผชิญกับปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง กลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการบริโภคภายในประเทศ ทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการบริโภคของภาคประชาชนยังไม่สามารถฟื้นกลับมาได้เต็มที่ แม้ในช่วงต้นปีอดีตนายกฯ เศรษฐา พยายามหามาตรการในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่ด้วยปัจจัยทางการเมืองที่รุมเร้า จึงยังไม่สิ่งที่หวังและตั้งใจยังไปไม่ถึงฝั่งฝัน
จึงมาถึงสมัย นายกฯ “แพทองธาร” ใช้ฤกษ์ วันที่ 12 เดือน 12 เปิดแคมเปญ “2568 โอกาสไทย ทำได้จริง 2025 Empowering Thais: A Real Possibility” หลังจากดำรงตำแหน่งครบ 90 วัน โดยประกาศเดินหน้า 5 นโยบายหลักที่มีเป้าหมายในการกระตุ้นเศรษฐกิจและแก้ไขปัญหาของประชาชน ดังนี้
1. ล้างหนี้ประชาชน ช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีหนี้สินเชื่อบ้าน รถ และ SMEs โดยการบรรเทาภาระหนี้สินและช่วยเพิ่มกำลังซื้อของประชาชน
2. โครงการบ้านเพื่อคนไทย ให้โอกาสประชาชนที่มีรายได้น้อยสามารถซื้อบ้านได้ในราคาไม่เกิน 4,000 บาทต่อเดือน เป็นเวลา 25 ปี และมีสิทธิในการอยู่อาศัย 99 ปี
3. ทุนการศึกษา ใช้งบประมาณจากการขายสลากกินแบ่งรัฐบาล เพื่อจัดโครงการ “1 อำเภอ 1 ซัมเมอร์แคมป์” ซึ่งจะส่งเด็กไทยไปฝึกภาษาต่างประเทศในระยะเวลาสั้น ๆ
4. ขับเคลื่อนโครงการรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เป็นโครงการที่มุ่งเป้าหมายในการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชนและเพิ่มประสิทธิภาพการเดินทางในกรุงเทพฯ
5. ดิจิทัลวอลเล็ต โครงการแจกเงินหมื่นให้กับประชาชนตามเกณฑ์ที่กำหนด เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจและเพิ่มการบริโภคในประเทศ
นักวิชาการประเมิน รัฐบาล “สอบตก” ด้านเศรษฐกิจ
รศ.ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ได้ประเมินภาพรวมของรัฐบาลภายใต้การนำของ “แพทองธาร” ในปี 2567 ว่า ได้รับคะแนนเพียง 4 เต็ม 10 หรือ “สอบตก” โดยมองว่าปัญหาค่าครองชีพที่สูงยังคงเป็นปัญหาหลักที่ไม่สามารถแก้ไขได้ พ่อค้าแม่ค้าประสบปัญหาในการขายของ และ SMEs หลายแห่งต้องปิดตัวลง เนื่องจากไม่สามารถแข่งขันกับสินค้าจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าจากจีนได้ นอกจากนี้นโยบายที่ผ่านมายังไม่เห็นผลอย่างชัดเจน นอกจากการแจกเงินหมื่นให้กับผู้ด้อยโอกาส ซึ่งไม่ได้เป็นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
รศ.ดร.อัทธ์ ยังมองภาพปี 2568 ว่า ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงมากมาย โดยเฉพาะจากการที่ นายโดนัลด์ ทรัมป์ กลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ อีกครั้ง ซึ่งจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและไทย ในด้านการค้าระหว่างประเทศและภูมิรัฐศาสตร์ รัฐบาลไทยจะต้องเตรียมตัวรับมือกับนโยบายของทรัมป์ แต่ยังไม่เห็นภาพชัดเจนว่า ไทยจะสามารถรับมือหรือใช้โอกาสจากสถานการณ์นี้ได้อย่างไร
นอกจากนี้ รศ.ดร.อัทธ์ คาดการณ์ว่า ปี 2568 จะเป็นปีที่ยากลำบากสำหรับคนไทย โดยประเมินว่า GDP จะขยายตัวได้เพียง 2.4% หรือระหว่าง 2.2-2.7% ไม่ถึง 3% เนื่องจากเศรษฐกิจโลกยังไม่แน่นอน โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนที่มีผลกระทบต่อการท่องเที่ยวโดยตรง เชื่อว่า ปัจจัยต่างประเทศจะมีบทบาทมากขึ้นในเศรษฐกิจไทย เนื่องจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานใหญ่ในประเทศยังคงขาดแคลน ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจไทยในปีหน้าอาจต้องพึ่งพาปัจจัยภายนอกมากกว่าการเติบโตจากภายในประเทศเอง นอกจากนี้ยังมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อาจนำไปสู่ความตึงเครียดระดับโลก
FETCO แนะ ปี’68 ไทยต้องทุ่มสรรพกำลังดึง FDI
ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ได้ประเมินผลงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลนางสาวแพทองธาร ชินวัตรในช่วง 90 วันที่ผ่านมา โดยเห็นว่าเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการดำเนินงาน ซึ่งระยะเวลา 90 วันถือว่า “ไม่ได้สั้นหรือยาวจนเกินไป” และรัฐบาลสามารถผลักดันนโยบายและมาตรการสำคัญได้ในบางด้าน เช่น กองทุนวายุภักษ์, แจกเงิน 10,000 บาท เพื่อกระตุ้นการบริโภคและเศรษฐกิจฐานราก, สิทธิ 30 บาทรักษาทุกที่, การดึงนักลงทุนเข้าประเทศ และการแก้ไขกฎหมายที่สำคัญ ซึ่งอยู่ระหว่างการดำเนินการ
ประธาน FETCO กล่าวถึงแนวทางที่รัฐบาลควรขับเคลื่อนในปี 2568 โดยชี้ให้เห็นโอกาสสำคัญของประเทศไทยในการสร้างความเจริญเติบโตในหลายมิติ พร้อมเน้นย้ำถึงการเตรียมความพร้อม เพื่อดึงดูดโอกาสใหญ่ที่กำลังมาถึง ซึ่งรัฐบาลควร “หยิบฉวยโอกาส” เหล่านี้อย่างเต็มที่
ดร.กอบศักดิ์ อธิบายว่า เขาอยากเห็นรัฐบาลแก้ไขกฎเกณฑ์ที่เป็นอุปสรรคในการดึงดูดผู้มีความสามารถ (Talents) และธุรกิจสตาร์ทอัพ เข้ามาในประเทศ เพราะทั้ง 2 ส่วนดังกล่าว ไม่ได้ต้องการเงินสนับสนุนจากรัฐ เพียงแต่รอการลดข้อจำกัด และสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวย
ขณะเดียวกันก็สานต่อ “IGNITE THAILAND” ที่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน ริเริ่มไว้ โดยเฉพาะสนับสนุนให้ไทยเป็นศูนย์กลางอาหารของภูมิภาค และเดินหน้าเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัล Digital Asset ซึ่งไทยมีศักยภาพในการเป็นผู้นำระดับภูมิภาค ควรเร่งรัดโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟความเร็วสูง, โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ท่าเรือฝั่งตะวันตก และสนามบิน
พร้อมทั้งส่งเสริมศักยภาพเด่นของประเทศด้านการท่องเที่ยว โดยเพิ่มคุณค่าให้การท่องเที่ยวไทยก้าวหน้าไปสู่ระดับสูงสุด ส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง workation หรือการทำงานและการพักผ่อนในเวลาเดียวกัน และทำให้ไทยกลายเป็นพื้นที่แห่งการจับจ่ายใช้สอยของโลก
โอกาสสำคัญในรอบ 20 ปี
ดร.กอบศักดิ์ กล่าวถึงความสำคัญสำหรับโอกาสของประเทศไทยที่เกิดขึ้นในรอบ 20 ปี ในปี 2568 คือ การดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment: FDI) โดยการที่บริษัทข้ามชาติเลือกลงทุนในประเทศใดประเทศหนึ่งจะเป็นการตัดสินใจระยะยาว หากประเทศไทยถูกเลือก
ประธาน FETCO เตือนว่า หากไทยพลาดโอกาสนี้ จะเป็นเรื่องยากที่จะฟื้นตัวหรือกลับมาเป็นตัวเลือกหลักในสายตาของนักลงทุนในอนาคต ดังนั้นการใช้ช่วงเวลานี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดจึงเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง
ดร.กอบศักดิ์ กล่าวถึงข้อกังวลของหลายฝ่ายเกี่ยวกับสงครามการค้าที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าว่า สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงประเทศไทยในบางมิติ แต่ก็อาจสร้างโอกาสเชิงบวกได้ในเวลาเดียวกัน
แม้ประเทศไทยจะได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า แต่ผลกระทบจะไม่รุนแรงเท่าประเทศอื่น เนื่องจากไทยไม่ได้มีบทบาทหลักในความขัดแย้งนี้ เช่น บริษัทจีนที่ผลิตแผงโซลาร์ในไทยอาจได้รับผลกระทบจากการที่สหรัฐอเมริกาเพิ่มอัตราภาษีสินค้า อย่างไรก็ตาม สินค้าที่ผลิตในไทยอาจได้รับอัตราภาษีที่ลดลง เช่น จีนถูกเก็บ 60% ในขณะที่ไทยอาจถูกเก็บ 20% ทำให้สินค้าไทยยังคงมีความสามารถในการแข่งขัน
ประธาน FETCO ยังได้เสนอแนวคิดเชิงกลยุทธ์สำหรับการดึงดูดการลงทุนเข้าประเทศไทย โดยเน้นไปที่การสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเพื่อให้ประเทศไทยเป็นจุดเริ่มต้นของการลงทุนระดับโลก ต้องระดมขุนพลทางเศรษฐกิจ และผู้เชี่ยวชาญที่มีศักยภาพเข้าไปสนับสนุนการทำงานของคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ (BOI) ผลักดันระบบ Single Window เพื่อให้การดำเนินการด้านการลงทุนเป็นไปอย่างราบรื่น ลดขั้นตอนที่ซับซ้อน และเพิ่มความสะดวกให้กับนักลงทุน
ใช้ “กลยุทธ์ปูพรมแดง” (Red Carpet) ให้สิทธิพิเศษ สำหรับบริษัทขนาดใหญ่ เช่น Google, Microsoft หรือบริษัทที่มีเทคโนโลยีและทรัพยากรสำคัญ โดยไม่ต้องกังวลกับข้อครหาเรื่องความเท่าเทียม เพราะบริษัทใหญ่เหล่านี้มีเม็ดเงินสูง โอกาสที่บริษัทอื่นในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เช่น บริษัทแถว 2 และแถว 3 จะตามมาก็มีสูง
ไทยต้องแสดงให้โลกเห็นว่าพร้อมต้อนรับการลงทุนในทุกมิติ และเป็นฐานสำคัญสำหรับการขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน
ทั้งนี้การมีอุตสาหกรรมหลัก เช่น Data Center ที่เข้ามาตั้งฐานในไทย สร้างบริบทที่เอื้ออำนวยให้บริษัทในเครือหรือธุรกิจที่เกี่ยวข้อง (Supply Chain) ตามมา ดังนั้นควรส่งเสริมอุตสาหกรรมเป้าหมายเพิ่มเติมอีก 2-3 ประเภท ที่จะสามารถดึงดูดการลงทุนขนาดใหญ่ได้
สำหรับปัญหาเรื่องการเมืองในประเทศนั้น ดร.กอบศักดิ์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่าอยากให้เชื่อใจ “ภาคเอกชนไทย” เพราะเอกชนเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยให้ประเทศไทยสามารถก้าวผ่านวิกฤตในอดีตมาได้ นักธุรกิจไทยมีศักยภาพในการปรับตัวและสร้างโอกาสแม้ในช่วงเวลาที่ท้าทาย อีกทั้ง “แบรนด์ไทย” ในระดับภูมิภาคยังคงมีความสามารถในการแข่งขันและเป็นที่ยอมรับ
“อย่าให้มีอะไรลุกลามจนเกินควบคุม”
เป็นข้อความสำคัญที่สะท้อนความตั้งใจของ ดร.กอบศักดิ์ ในการผลักดันให้ประเทศไทยเดินหน้าไปข้างหน้า โดยอาศัยความเข้มแข็งของภาคเอกชน และการสร้างเสถียรภาพทางการเมือง เพื่อให้ประเทศสามารถก้าวผ่านความท้าทายและคว้าโอกาสได้ในอนาคต