เก็ง 7 หุ้นเด่น “เดือนม.ค.” เล็งรับ “เม็ดเงินรัฐบาล” กระตุ้นเศรษฐกิจ-ปันผลสูง
เก็ง 7 หุ้นเด่น “เดือนม.ค.” เล็งรับ “เม็ดเงินรัฐบาล” อัดฉีดกระตุ้นเศรษฐกิจ-ปันผลสูง หุ้นผันผวนต่ำ รวมถึงหุ้นยุค TRUMP 2.0
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ประเมินภาพรวมไตรมาสที่ 1/2568 ว่าต้องติดตามคือ การเปลี่ยนแปลงการเมืองโลก TRUMP 2.0 เป็นเรื่องที่นักลงทุนให้น้ำหนักมากขึ้น เนื่องจากผลกระทบต่อภาคการค้าระหว่างประเทศ เสี่ยงแพร่กระจายไปทั่วโลก ซึ่งไม่ใช่แค่จีนประเทศเดียว แต่คาดว่าสหรัฐจะเริ่มปรับขึ้นภาษีนำเข้าในช่วงไตรมาส 3/2568 เป็นต้นไป ทำให้กดดัน GDP โลกปี 2568 หดตัว 0.4% – 0.6%
ขณะที่หุ้น TRUMP TRADE และ Dollar Index ปรับตัวขึ้นแรง ตอบรับในเชิงบวกมาระดับหนึ่งแล้ว ปกติจะเริ่มย่อตัวลงในเดือนที่ “โดนัลด์ ทรัมป์” เข้ารับตำแหน่ง ในมุมนโยบายการเงิน “เฟด” ส่งสัญญาณ Hawkish มากขึ้น มีโอกาสลดดอกเบี้ยเพียง 1-2 ครั้งในปีนี้
ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตตามแต่ละส่วนประกอบของ GDP หลักๆ มาจากความคาดหวังการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบของรัฐบาลไทย อาทิ EASY E-RECEIPT, แจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 แต่ระยะถัดไปการกระตุ้นเศรษฐกิจอาจจำกัด จากหนี้สาธารณะ และ GDP เริ่มปริ่มเพดาน 70%
ส่วนในเม็ดเงินของ “Fund Flow” ต้นปี 2568 ตลาดหุ้นอาจเผชิญแรงกดดันจากเม็ดเงิน LTF ที่พร้อมขายได้สูงขึ้นเป็น 2.3 แสนล้านบาท สูงกว่าต้นปีก่อนที่ 1.6 แสนล้านบาท ราว 43% โดยคาดจะเห็นแรงขายออกมาในเดือนมกราคม 2568 เป็น 1.5 – 2 หมื่นล้านบาท สูงกว่าเดือน ม.ค. ปีอื่นๆ ขณะที่แรงซื้อกองทุน THAIESG อาจชดเชยได้ไม่พอ ส่วนเม็ดเงินต่างชาติ มีโอกาสชะลอช่วงสั้นๆ เนื่องจาก นักลงทุนอยู่ในช่วงรอดูนโยบาย TRUMP2.0 และหากเทียบยุค TRUMP 1.0 ปี 2561 ที่มีประเด็นสงครามการค้า เป็นปีที่ต่างชาติขายหุ้นไทยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 2.87 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีแรงกดดันจากการทยอยปรับลด EPS ปี 2568 ที่ทาง “บลูมเบิร์ก” ประเมิน EPS ปี 2568 ที่ 98.5 บาท/หุ้น เทียบเท่ากำไร 1.2 ล้านล้านบาทต่อปี (เฉลี่ยต่อไตรมาสราว 3 แสนล้านบาท) ถือว่าเกิดขึ้นได้ยาก เพราะสูงกว่ากำไรระดับปกติไตรมาสละ 2.5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะสร้างความผันผวนได้
อย่างไรก็ตาม SET Index ย่อตัวลงมา อาจมีจังหวะรีบาวน์ได้บ้าง จากความคาดหวังการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนงวดไตรมาส 4/2567 ที่น่าจะเติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากฐานที่ต่ำ โดยงวดไตรมาส 4/2566 อยู่ที่ 1.7 แสนล้านบาท และกำไรงวดไตรมาส 3/2567 ที่ 1.9 แสนล้านบาท
ส่วน Valuation เบื้องต้นฝ่ายนักวิเคราะห์ ประเมินเป้าหมาย ดัชนีผ่าน EPS ปี 2568 จาก BLOOMBERG Consensus ที่ 98.5 บาท/หุ้น ซึ่งอาจมี DOWNSIDE ในช่วง 3 เดือนแรกของปี ที่มักถูกปรับลงเฉลี่ย -5.8 บาท/หุ้น จึงทำ SENSITIVITY ของเป้าหมายดัชนีปี 2568 อิง P/E ที่ 16.5 เท่า เมื่อคูณกับ EPS ปี 2568 ระดับต่างๆ จะได้เป้าหมายดัชนีในปี 2568 ที่ 1,490 – 1,600 จุด
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนเดือนมกราคม 2568 แนะนำหุ้นเด่นน่าลงทุน 4 กลุ่ม ได้แก่ หุ้นผันผวนต่ำ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT โดยให้ราคาเป้าหมาย 69.00 บาท และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ให้ราคาเป้าหมาย 11.00 บาท
ส่วนหุ้นปันผลสูง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ให้ราคาเป้าหมาย 180 บาท และ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ให้ราคาเป้าหมาย 2.22 บาท
รวมถึงหุ้นรับกระแสกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้แก่ บริษัท แอดไวซ์ ไอที อินฟินิท จำกัด (มหาชน) หรือ ADVICE ให้ราคาเป้าหมาย 8.70 บาท และ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC ให้ราคาเป้าหมาย 26.30 บาท
นอกจากนี้ ยังมีหุ้นยุค TRUMP 2.0 ได้แก่ บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) หรือ RCL ให้ราคาเป้าหมาย 32 บาท