“ทรีนีตี้” คัด 8 หุ้นลงทุนเดือนม.ค. เน้น 4 ธีมเด่น
“บล.ทรีนีตี้” คัด 8 หุ้นลงทุนเดือนม.ค. เน้น 4 ธีมเด่น “ค้าปลีก-ปันผลสูง-ได้ประโยชน์การลงทุนทางตรงต่างชาติ พ่วงกลุ่มหุ้น IFFs และ REITs อาทิ AEONTS, CPALL, JMT,PTT, TISCO,WHA,DIF, LHHOTEL พร้อมประเมินแรงขาย LTF เดือนนี้ 5.5 พันล้านบาทไม่กระทบ สภาพคล่องนักลงทุนสถาบันยังสูง แนะนักลงทุนเพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยบริเวณดัชนี 1,370 จุด
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางตลาดหุ้นไทยเดือนมกราคมปี 2568 ว่า สำหรับภาพตลาดหุ้นไทยในเดือนมกราคมปี 2568 คาดว่า SET Index จะสามารถปรับตัวรีบาวด์ขึ้นมาจากบริเวณ 1,360-1,380 จุดได้ไม่ยาก มองการปรับฐานของ SET Index ในช่วงที่ผ่านมาถือเป็นเรื่องที่ดีในการลดความร้อนแรงด้าน Valuation ของตลาด หลังจากที่ประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนได้ถูกปรับนำลงมาก่อนหน้านี้
สำหรับการไถ่ถอนกองทุน LTF ที่เตรียมครบกำหนดอายุใหม่ในเดือนนี้ ประเมินจะมีมูลค่าอยู่ที่ราว 5.5 พันล้านบาท ซึ่งมองว่าแรงไถ่ถอนนี้จะไม่ได้มีอิทธิพลกดดัน SET Index มากนัก ในภาวะที่สภาพคล่องของนักลงทุนสถาบันในประเทศยังคงอยู่ในระดับสูง ส่วนหนึ่งจากเม็ดเงินกองทุนลดหย่อนภาษีที่เข้ามาในช่วงปลายปี 2567
ที่สำคัญ ผลการศึกษาในเชิงปริมาณยังพบว่า SET Index มักเกิดปรากฏการณ์ January effect ในช่วงสองสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม โดยหากใช้ข้อมูลในช่วง 10 ปีหลังสุด จะพบว่าดัชนีให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ที่ 1.4%โดยมีผลตอบแทนที่ติดลบเพียงแค่ 2 ปีจาก 10 ปีเท่านั้น
ในเชิงกลยุทธ์ หากเทียบเคียงระดับดัชนีปัจจุบันที่บริเวณ 1386 จุด กับระดับกรณีฐานของทรีนีตี้ในปี 2568 ที่ 1,455 จุด ต้องบอกว่าระดับ Upside เป็นต่อ Downside แล้ว ด้วยเหตุนี้ จึงแนะนำให้นักลงทุนที่เพิ่มน้ำหนักหุ้นไทยบริเวณดัชนี 1,370 จุดตามที่แนะนำก่อนหน้านี้ สามารถถือครองหุ้นในส่วนดังกล่าวต่อไปได้
โดยกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจในเดือนนี้ มองไปยัง 4 ธีมการลงทุนสำคัญได้แก่ 1.กลุ่มค้าปลีกและไฟแนนซ์ที่ได้ประโยชน์จากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ และมาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอย ได้แก่ AEONTS, CPALL, JMT 2.กลุ่มหุ้นปันผลสูงที่อยู่ในดัชนี SETHD ซึ่งมักจะเป็นดัชนีที่ปรับตัว Outperform ในช่วง 4 เดือนแรกของทุกๆปี ได้แก่ PTT, TISCO
3.กลุ่มหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนทางตรงของต่างชาติ และการลงทุนภาคเอกชนของไทยที่จะฟื้นตัวได้โดดเด่น ได้แก่ WHA และ 4.กลุ่มหุ้น IFFs และ REITs ที่ได้ประโยชน์จากระดับ Dividend yield gap ที่ยังคงยืนสูงกว่าค่าเฉลี่ย บ่งชี้ถึงความน่าสนใจเมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนในตราสารที่คล้ายกันอย่างพันธบัตร ได้แก่ DIF, LHHOTEL
สำหรับปัจจัยที่น่าติดตามในสัปดาห์นี้ ได้แก่ รายงานตัวเลขเงินเฟ้อ CPI ของไทยประจำเดือนธ.ค. ซึ่งล่าสุดออกมาต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดย Headline inflation ขยายตัวเพียง 1.2% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และหดตัว 0.2% เทียบเดือนก่อนหน้า มองแรงกดดันเงินเฟ้อภายในที่อยู่ค่อนข้างต่ำ จะเอื้อให้ธปท.สามารถดำเนินปรับลดดอกเบี้ยได้ 1 ครั้งภายในไตรมาสที่ 1 นี้
ส่วนปัจจัยต่างประเทศที่น่าสนใจได้แก่ รายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯประจำเดือนธ.ค.ในวันที่ 10 ม.ค. หากออกมาแตกต่างจากที่ตลาดคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.6 แสนตำแหน่ง อาจส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของคาดการณ์ดอกเบี้ย Fed ในตลาดได้