IAA แนะลงทุน 4 หุ้นเด่น หลีกเลี่ยง “กลุ่มยานยนต์-อิเล็ก-ปิโตรเคมี”

IAA มองลงทุนในปี 68 มองดัชนีจะแกว่งตัวในกรอบ 1,322 - 1,581 จุด แนะลงทุน 4 หุ้นเด่น AOT-ADVANC-BDMS-CPALL ควรหลีกเลี่ยงหุ้น “กลุ่มยานยนต์-อิเล็ก-ปิโตรเคมี”


นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) เปิดเผยผลการสำรวจความเห็นสมาชิกนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน รวม 26 สำนัก เกี่ยวกับมุมมองการลงทุนในปี 68 มองดัชนีจะแกว่งตัวในกรอบ 1,322-1,581 จุด โดยปิดสิ้นปี 68 ที่ 1,556 จุด ลดลงจากการสำรวจครั้งก่อนที่คาดว่าดัชนีปี 68 อยู่ที่ 1,614 จุด

โดยในปี 68 มีปัจจัยลบด้าน Fund Flows จากต่างประเทศออกจากตลาดหุ้นไทย ผู้ตอบ 74.07% ของผู้ตอบทั้งหมด รองลงมา ปัจจัยด้านการเมืองในประเทศ มีผู้ตอบ 69.23% ตามมาด้วยปัจจัยด้านการเมืองในต่างประเทศ มีผู้ตอบ 61.54% และการลดหรือยุติมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ของประเทศสำคัญทั่วโลก มีผู้โหวต 55.56% ตามลำดับ

ทั้งนี้ปี 67 นักลงทุนต่างชาติขายออกเกือบ 1.5 แสนล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้นักลงทุนต่างชาติขายออกอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปีนี้นักวิเคราะห์ก็ไม่ได้หวังเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างชาติ แต่เชื่อมั่นกลไกเศรษฐกิจไทยซึ่งคาดว่าจะฟื้นตัว จากการลงทุนของภาครัฐซึ่งคาดว่าปีนี้จะสามารถใช้งบลงทุนได้อย่างเต็มกำลัง

ขณะที่แนวโน้มไตรมาส 1/68 มองว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มไปในทิศทางบวก โดยปัจจัยที่น่าจับตามองเป็นพิเศษในไตรมาสนี้ คือการเข้ารับตำแหน่งและนโยบายของ Trump ตามมาด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของไทยและการลงทุนของภาครัฐ โดยจะปิดสิ้นไตรมาส 1/68 ที่ 1,449 จุด

ส่วนคาดการณ์การปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในสิ้นปี 2568 นั้นมีความเห็นต่างกันพอสมควร โดยผู้ตอบ 54% คาด ว่าจะอยู่ที่ 2% รองลงมาผู้ตอบ 22% มองว่าปรับลดลงมาที่ 1.75% ถัดมาผู้ตอบ 17% มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายคงที่ที่ 2.25%และ 4% ที่มองว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจปรับลดไปอยู่ที่ 1.50%

ด้านคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2567 ของตลาดเฉลี่ยได้ที่ 84.61 บาท ปรับลดจากผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งอยู่ที่ 89.91 บาท/หุ้น และคาดว่า EPS Growth ของปี 2568 เฉลี่ยอยู่ที่ 12.22% ทั้งยังคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ปี 2568 ของตลาดเฉลี่ยไว้ที่ 94.95 บาท

นักวิเคราะห์แนะนำให้มีการกระจายพอร์ตการลงทุน แบ่งเป็น เงินสดและเงินฝากระยะสั้น 10.72% กองทุนตราสารหนี้ 22.00% หุ้นหรือกองทุนหุ้นต่างประเทศ 29.56% หุ้นไทยหรือกองทุนหุ้นไทย 22.52% กองทุนอสังหาฯ หรือ REIT 6.90% ทองคำหรือกองทุนทองคำ 8.10% และสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น Bitcoin 0.20%

โดยความเห็นการลงทุนต่างประเทศ แนะนำกองทุนหุ้นสหรัฐฯ โดยเฉพาะ AI-Technology และ Selective Asia เช่น จีน เกาหลี และ เวียดนาม สำหรับในการลงทุนหุ้นไทยนั้น แนะนำให้เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในหมวดธุรกิจค้าปลีก รับเหมาก่อสร้าง ภาคบริการ การท่องเที่ยว เทคโนโลยีและการสื่อสาร ในขณะที่ให้ลดน้ำหนักการลงทุนใน หมวดธุรกิจยานยนต์ พลังงานและปิโตรเคมี

เปิดหุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำตรงกันตั้งแต่ 4 สำนักขึ้นไป

1.บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT มองว่าได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวฟื้น โดยเติบโตไปตามการท่องเที่ยวของประเทศ ซึ่งในปี 2567 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่ 36 ล้าน และปี 2568 ที่ 40 ล้านคน

2.บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC มองว่าธุรกิจฟื้นตัว ต้นทุนต่ำลง มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ ปลอดภัยจากนโยบายของทรัมป์ และได้ประโยชน์จากกระแส Data center

3.บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ได้อานิสงส์จากสังคมสูงวัยที่จะใหญ่ขึ้น คาดกลุ่มผู้ป่วยต่างชาติยังคงเติบโต

4.บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ได้แรงหนุนจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ

สำหรับหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง ได้แก่ หุ้นกลุ่มยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และปิโตรเคมี

ท้ายที่สุด นักวิเคราะห์ยังได้เพิ่มเติมการแนะนำไปยังรัฐบาลเกี่ยวกับนโยบายที่จะมีผลบวกต่อภาวะเศรษฐกิจ มีความคุ้มค่ากับงบประมาณ ได้แก่ เร่งลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานที่หนุนศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจ สนับสนุนอุตสาหกรรม New S-Curve ให้เกิดขึ้นในไทย นโยบายกระตุ้นการลงทุนจากต่างประเทศ ในอุตสาหกรรมใหม่ๆ สนับสนุนการวิจัยและผลิตสินค้าเทคโนโลยี ส่งเสริมการท่องเที่ยว Entertainment Complex รวมถึงลดภาษีนิติบุคคล และตามมาด้านการช่วยเหลือภาคประชาชน ได้แก่ ลดภาษีบุคคลธรรมดา สนับสนุนมาตรการแก้ปัญหาหนี้ และให้ความสำคัญด้านการศึกษา

Back to top button