KS มองกลุ่มอิเล็กฯ กำไรปี 68 โตแกร่ง รับยอดคำสั่งซื้อพุ่ง-ต้นทุนลดลง

บล.กสิกรไทย มองกำไรกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ไตรมาส 4/67 คาดเติบโตจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นและ GPM ที่ดีขึ้น รับแนวโน้มบวกในปี 2568 จากคำสั่งซื้อใหม่และต้นทุนที่ลดลง


บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KS ประเมินกำไรกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะ บริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ DELTA, บริษัท ฮานา ไมโครอิเล็คโทรนิคส จำกัด (มหาชน) หรือ HANA, บริษัท เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ KCE, และ บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI ว่าในไตรมาส 4/2567 จะปรับตัวดีขึ้น เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของยอดขายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจาก DELTA และ SVI และ GPM ที่ปรับตัวดีขึ้นทั่วทั้งกลุ่มจากเงินบาทที่อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ จากแนวทางของบริษัทฯ ที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของทางฝ่ายวิจัยมองอุปสงค์ในไตรมาส 4/2567 มีทิศทางที่หลากหลาย โดยธุรกิจปลายน้ำมีแนวโน้มเชิงบวกมากกว่าธุรกิจต้นน้ำ

ขณะที่บริษัทที่มีการพึ่งพาตลาดยานยนต์ระดับโลกมาก มีมุมมองเชิงลบมากกว่า อย่างไรก็ตาม ทุกบริษัทฯ คาดว่าจะเห็นการปรับตัวดีขึ้นของ GPM ในไตรมาส 4/2567 เนื่องจากผลกระทบจากเงินบาทที่แข็งค่าอาจเปลี่ยนเป็นปัจจัยบวก

โดยมีมุมมองเชิงบวกเล็กน้อยต่อแนวโน้มกำไรไตรมาส 4/2567 จากการฟื้นตัวของ GPM สำหรับปี 2568 บริษัทในกลุ่มมีแนวโน้มเชิงบวก โดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 โดยคาดว่ารายได้หลักจะกลับมาเติบโตในหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ คำสั่งซื้อใหม่ และ GPM ที่ขยายตัวจากต้นทุนการผลิตที่ลดลง

DELTA คาดว่ายอดขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับศูนย์ข้อมูลและ AI จะเร่งตัวขึ้นในไตรมาส 4/2567 และดำเนินต่อไปในปี 2568 โดยได้รับแรงหนุนจากการผลิต GPU AI รุ่นใหม่จาก NVIDIA ในปริมาณมาก บริษัทฯ มองเห็นอุปสงค์เชิงบวกต่อการลงทุนในระบบคลาวด์คอมพิวติ้งและศูนย์ข้อมูลโคโลเคชั่น

อย่างไรก็ตาม GPM ในไตรมาส 4/2567 อาจลดลง เนื่องจากไม่มีกำไรพิเศษจากการกลับรายการสต็อกสินค้า บริษัทฯ มีแผนค่าใช้จ่ายการลงทุน (capex) ราว 300-330 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีนี้ ขณะที่คาดว่าค่าใช้จ่ายด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) จะเพิ่มขึ้นเป็น 3-4% ของยอดขายรวม

HANA คาดว่ารายได้ในไตรมาส 4/2567 จะทรงตัวจากธุรกิจ PCBA ขณะที่ธุรกิจ RFID มีแนวโน้มเชิงบวกทั้งในสหรัฐฯ และจีน อย่างไรก็ตาม อุปสงค์ในธุรกิจ OSAT ยังคงอ่อนแอ เนื่องจากอุปสงค์ที่ต่ำจากลูกค้ารายใหญ่ บริษัทฯ คาดว่า GPM จะฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในธุรกิจ OSAT ที่อาจกลับมาเป็นบวก เนื่องจากไม่มีผลกระทบจากการประเมินมูลค่าสต็อกสินค้าจำนวน 200 ล้านบาทที่บันทึกไว้ในไตรมาส 3/2567

อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายวิจัยเห็นความเสี่ยงต่อกำไรไตรมาส 4/2567 จากการด้อยค่าที่อาจเกิดขึ้นที่โรงงานในเกาหลีใต้ เนื่องจากบริษัทฯ ตัดสินใจหยุดการผลิตอุปกรณ์ Si และเปลี่ยนไปใช้การผลิตจากผู้รับจ้างในจีน HANA มองว่าแนวโน้มในปี 2568 จะดีขึ้น โดยได้รับการสนับสนุนจากคำสั่งซื้อใหม่ในครึ่งหลังของปี 2568 จากการย้ายฐานการผลิตและอุปสงค์ทีโยกออกจากจีน

KCE คาดว่ารายได้จะหดตัวในไตรมาส 4/2567 จากอุปสงค์ที่อ่อนแอในอุตสาหกรรมยานยนต์ อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารมั่นใจว่า GPM จะปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากอัตราแลกเปลี่ยนและต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง สำหรับปี 2568 บริษัทตั้งเป้าการเติบโตของรายได้หลักในระดับเลขหลักเดียว โดยคาดว่าอุปสงค์จะยังคงอ่อนแอในปี 2568 แต่บริษัทมองว่า GPM จะดีขึ้นจากความพยายามในการลดต้นทุนการผลิต

SVI คาดว่ารายจะเติบโตในไตรมาส 4/2567 จากการฟื้นตัวของคำสั่งซื้อจากลูกค้ารายใหญ่ในธุรกิจเหมืองขุด Bitcoin แต่ลูกค้ารายอื่นๆ ได้เลื่อนคำสั่งซื้อบางส่วนไปยังปี 2568 เนื่องจากอุปสงค์ที่ชะลอตัวในยุโรป GPM คาดว่าจะกลับสู่ระดับปกติที่ 9.0-9.5% ตามการอ่อนค่าของเงินบาท บริษัทได้รับคำสั่งซื้อใหม่จากลูกค้าจีนมูลค่า 100-150 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นในไตรมาส 1/2568 เป็นต้นไป

โดยมองว่ากลุ่มศูนย์ข้อมูลจะเป็นกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุดในปี 2568 เมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ โดยได้รับการสนับสนุนจากการเร่งลงทุนของบริษัทหลักในกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและโทรคมนาคม ซึ่งมีการเติบโตของการลงทุน (capex) อย่างแข็งแกร่งในช่วงปี 2563-2565 หลังการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ในปี 2566 การลงทุนดังกล่าวหยุดชะงักและลดลงเล็กน้อย เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) และธนาคารกลางอื่น ๆ

อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของการประมวลผลด้วย AI ในปลายปี 2566 ทำให้ capex ของผู้ให้บริการระดับ Hyperscale กลับมาเติบโต โดยมีอัตราการเติบโต 30% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนในปี 2567 และคาดว่ารายจ่ายการลงทุนของผู้ให้บริการคลาวด์ 3 อันดับแรกจะเติบโตมากกว่า 50% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ตลาดคาดการณ์ว่า capex ของซัพพลายเออร์เทคโนโลยีและโทรคมนาคมทั่วโลกจะเติบโต 17% ในปี 2568 ซึ่งเป็นการปรับประมาณการขึ้นจาก 10% ในช่วง 2 ไตรมาสที่ผ่านมา มองว่านี่เป็นสัญญาณบวกสำหรับผู้เล่นในกลุ่มศูนย์ข้อมูลและฮาร์ดแวร์ รวมถึงส่วนประกอบ AI เนื่องจากคาดว่าจะมีการเติบโตไปพร้อมกับการขยายตัวของเซิร์ฟเวอร์

อีกทั้งมองว่าธีมเทคโนโลยีการลงทุนในศูนย์ข้อมูลและ AI จะยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากการขยายตัวของคลาวด์และการนำ AI มาใช้ซึ่งทางฝ่ายวิจัยคาดว่าสิ่งนี้จะส่งผลบวกต่อ DELTA เนื่องจากบริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการโซลูชันพลังงานและระบบทำความเย็นสำหรับศูนย์ข้อมูลให้กับผู้เล่น AI ชั้นนำและผู้ให้บริการคลาวด์ในตลาด

นอกจากนี้คาดว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จะยังคงเผชิญกับความท้าทายจากการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงระหว่างผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากจีน อย่างไรก็ตาม ด้วยการกำหนดภาษีใหม่จากสหภาพยุโรปสำหรับการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าจากจีน เราเชื่อว่าการเข้าสู่ตลาดสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นปลายทางการส่งออกรถยนต์ไฟฟ้าจากจีนที่สำคัญที่สุดในปี 2567 (คิดเป็น 30% ของยอดส่งออกทั้งหมด) จะเผชิญกับความยากลำบากมากขึ้น

ในขณะเดียวกัน ตลาดสมาร์ทโฟนและพีซีคาดว่าจะเติบโตในอัตราที่ช้าลงในปี 2568 โดยได้รับแรงหนุนจากการเปิดตัวสมาร์ทโฟนที่รองรับเทคโนโลยี AI และการอัปเกรดเป็น Windows 11 สำหรับเครื่องพีซี หลังจากที่ระบบปฏิบัติการ Windows 10 จะสิ้นสุดการสนับสนุน

ด้านทรัมป์มีแผนที่จะเพิ่มภาษีในปี 2568 โดยกำหนดภาษี 60% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีน และ 10% สำหรับสินค้าจากประเทศอื่นๆ ทั่วโลก เราคาดว่ากลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะในประเทศไทย จะได้รับประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงนี้ เนื่องจากจะมีการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นและมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก บริษัทในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ระบุว่ากำลังเจรจาและรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าที่กำลังย้ายฐานการผลิตออกจากจีน

ทั้งนี้ มองว่ากำไรของภาคธุรกิจอิเล็กทรอนิกส์อาจมี upside 1-5% เนื่องจากรัฐบาลพิจารณาปรับลดค่าไฟฟ้าลง นอกจากนี้เชื่อว่าราคาพลังงานจะมีแนวโน้มลดลงภายใต้การบริหารงานของทรัมป์ ซึ่งจะส่งผลให้ต้นทุนการผลิตของบริษัทในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ โดยเฉพาะ KCE จะปรับตัวลดลง

โดยคาดว่ากำไรของกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์จะยังไม่น่าสนใจในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า เนื่องจากอัตราภาษีที่แท้จริงใหม่จะส่งผลกระทบต่อ DELTA และศักยภาพการเติบโตที่ต่ำของ KCE และ HANA

อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายวิจัยปรับเพิ่มคำแนะนำสำหรับ KCE เป็น “ซื้อ” แต่ปรับลดราคาเป้าหมายจาก 32 บาทเป็น 28 บาท เนื่องจากมองว่าราคาหุ้นปัจจุบันมี upside เพียงพอต่อราคาเป้าหมายแล้ว

Back to top button