“บล.พาย” ชี้กรอบ SET วันนี้ 1,360 – 1,380 จุด แนะลงทุน 13 หุ้นเด่น ปัจจัยบวกเฉพาะตัว
บล.พาย มองนโยบายกำแพงภาษี “ทรัมป์” กดดันความเชื่อมั่น กระแสเงินลงทุนต่างชาติ แนะกลยุทธ์ “เก็งกำไร”ระยะสั้น พร้อมชู BBL, KBANK, KTB, SCB, AOT, CENTEL, MINT, BJC, CRC, HMPRO ITC, TU, CPALL เด่น
บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ วันนี้ (7 ม.ค.68) ภายหลังตลาดหุ้นดาวโจนส์ Dow Jones ปิดลบ 25 จุด ลดลง 0.06% ในช่วงแรกนั้นตลาดหุ้นสหรัฐฯได้แรงสนับสนุนจากรายงาน โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังหารือกับคนใกล้ชิดเกี่ยวกับการตั้งกำแพงภาษีเฉพาะบางสินค้าเท่านั้นก่อนที่จะออกมาปฎิเสธภายหลัง ด้าน ราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดลบ 0.27% การซื้อขายเป็นไปอย่างผันผวนท่ามกลางตัวเลขเศรษฐกิจที่ปรับตัวลง
ขณะที่ เมื่อวานที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคประจำเดือน ธ.ค. พบว่าขยายตัว 1.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ ซึ่งปัจจัยหนุนเงินเฟ้อขยายตัวมาจากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง เพราะฐานราคาที่ต่ำในช่วงปีก่อนหน้าประกอบกับราคาสินค้าในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่มปรับสูงขึ้นจากราคาผลไม้สดโดยเฉพาะราคาเงาะ มะม่วง กล้วยน้ำว้า
อย่างไรก็ตาม มีราคาสินค้าบางชนิดราคาปรับลดลงได้แก่กลุ่มไข่และผลิตภัณฑ์นม ลดลง 0.96% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และผักสด ลดลง 3.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการลดลงของราคาพริกสด มะเขือเทศ และมะนาว ส่วนหมวดอื่นๆที่มิใช่อาหารและเครื่องดื่ม เพิ่มขึ้น 1.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการสูงขึ้นของราคาสินค้าในหมวดเคหสถาน เพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามราคาค่ากระแสไฟฟ้า ค่าเช่าบ้าน และค่าแรงกระเบื้อง
โดยราคาสินค้าที่ปรับลงได้แก่เครื่องนุ่งห่มและรองเท้า ลดลง 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการลดลงของราคาเสื้อยืดบุรุษ ด้านเงินเฟ้อพื้นฐานขยายตัว 0.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นับเป็นระดับที่ค่อนข้างต่ำสะท้อนถึงอุปสงค์ที่มิได้แข็งแกร่งมากนัก แต่ด้วยต้นทุนบางประเภทที่ปรับลงอย่างผักสดจะเป็นบวกกับหุ้นในกลุ่มร้านอาหาร อาทิ CENTEL และ MINT
ขณะเดียวกันเมื่อวานนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้รายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยทั้งหมดในปี 24 พบว่าอยู่ที่ 35.5 ล้านคน เพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสร้างรายได้ต่อประเทศได้ราว 1.67 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 5 อันดับแรกได้แก่ จีน, มาเลเซีย, อินเดีย, เกาหลีใต้ และรัสเซีย
สำหรับปีนี้ หลายๆสำนักคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวที่ 38-39 ล้านคน มองเป็นบวกกับหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวและค้าปลีก อาทิ AOT, CENTEL, CPALL และ MINT
ส่วนต่างประเทศเมื่อคืนที่ผ่านมาตามเวลาประเทศไทย สำนักข่าววอชิงตันโพสต์ ได้ออกมารายงานระบุว่า ทรัมป์ มีแผนจะผ่อนคลายนโยบายการตั้งกำแพงภาษีแม้จะยังมีแนวคิดจัดเก็บทุกประเทศแต่จะจำกัดเพียงบางอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีผลต่อความมั่นคงแห่งชาติหรือเศรษฐกิจสหรัฐฯเท่านั้นทำให้ในช่วงแรกนั้นค่าเงินฝั่งเอเชียพลิกกลับมาแข็งค่าก่อนจะกลับมาอ่อนค่าเช่นเดิม เพราะทรัมป์ได้ออกมาปฎิเสธ
ทั้งนี้ คงต้องรอดูช่วงรับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค. อีกครั้ง ซึ่งเบื้องต้นนั้นพบว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯยังปรับเพิ่มขึ้น สะท้อนว่านักลงทุนยังมิได้เชื่อมากนักกับข่าวที่วอชิงตันได้ออกมารายงาน วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1360 – 1380 ยังคงเป็นภาวะที่หุ้นไทย Valuation ถูกแต่ไร้ซึ่งความเชื่อมั่นและไม่มีปัจจัยบวก กระแสเงินทุนยังไม่เห็นการไหลกลับอย่างมีนัยยะไม่ว่าจะสถาบันหรือจะต่างประเทศ
โดยเฉพาะต่างประเทศยังไม่น่าเห็นการกลับมาซื้ออย่างมีนัยยะ ตามการเร่งตัวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ และเงินบาทยังไม่มีทิศทางกลับมาแข็งค่า ดังนั้น ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนยังเน้นเพียงแค่เก็งกำไรระยะสั้นสำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้สูงเน้นที่กลุ่มมีปัจจัยหนุน อาทิ ส่งออก อาทิ ITC และ TU รวมทั้ง ธนาคารพาณิชย์ อาทิ BBL, KBANK, KTB และ SCB และ ท่องเที่ยว อาทิ AOT, CENTEL และ MINT ส่วนค้าปลีก อาทิ BJC, CRC และ HMPRO
ส่วนกลยุทธ์ลงทุนแนะนำหุ้นเด่น ดังนี้ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 168.00 บาท ซึ่งคาดการณ์ว่ากำไรสุทธิจะเติบโตชะลอตัวที่ปี 68 อยู่ที่ 2% ปี 69 อยู่ที่ 4.3% ด้าน ROE ปรับลดลงที่ในปี 68 อยู่ที่ 7.9% ปี 69 อยู่ที่ 7.8% จาก 8.1% ในปี 67 และคาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงในปี 67 อยู่ที่ 5.3 ส่วนปี 69 อยู่ที่ 5.6%
ส่วนแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/67 ฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์กำไรจะลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าจากปัจจัยฤดูกาลที่ค่าใช้จ่ายการดำเนินงานเพิ่มขึ้นและรายได้ดอกดเบี้ยลดลง แต่กำไรจะปรับสูงขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นหลัก
นอกจากนี้ ฝ่ายนักวิเคราะห์แนะนำลงทุน บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO ราคาเป้าหมาย 12.50 บาท โดยมองว่าท่ามกลางกำลังของผู้บริโภคที่ชะลอตัวประกอบกับงานก่อสร้างและการโอนโครงการอสังหาที่ลดลง ทำให้การจับจ่อยใช้สอยในส่วนของสินค้าซ่อมแซมและตกแต่งบ้านจะชะลอตาม
อย่างไรก็ตาม คาดการณ์ว่า HMPRO จะรายงานกำไรสุทธิงวดไตรมาส 4/67 อยู่ที่ 1.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 20% จากไตรมาสก่อนหน้า ผลจากยอดขาย Mega Home ที่ขยายตัวดี ประกอบกับค่าใช้จ่ายที่เริ่มควบคุมได้ดีขึ้นจาก Hybrid store ที่ทยอยเห็นผล ขณะที่ การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ของ HomePro ช่วงเดือน ธ.ค. 67 พลิกกลับมาบวกได้เล็กน้อย เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากฐานที่ต่ำในปีก่อน และ HomePro Super Expo ที่จัดเดือน ธ.ค. 2024 เทียบกับ พ.ย. 66 ส่วน Mega Home ยังขยายตัวดีระดับ 3% – 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน