ASIA เร่งรีโนเวท “โรงแรมเอเชีย กรุงเทพ-พัทยา” ยันรายได้ปีนี้โต 10%
ASIA กางแผนปี 68 ปรับโฉมโรงแรมเอเชีย กรุงเทพ และพัทยา ดึงดูดนักท่องเที่ยวใหม่ๆ ส่วนสถานที่จัดสัมมนาหลังรีโนเวลเสร็จเริ่มมีลูกค้าเอกชนเข้ามาใช้บริการ พร้อมตั้งเป้ารายได้จากธุรกิจโรงแรมปีนี้เติบโต 5-10%
นายพัชรพล เตชะหรูวิจิตร ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียโฮเต็ล จำกัด (มหาชน) หรือ ASIA เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ว่า แผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทในช่วง 1-2 ปีนี้ (ปี 2568-69) จะเน้นในส่วนของการปรับปรุงห้องพักให้มีความทันสมัยมากขึ้น โดยคาดการณ์ว่าจะใช้งบลงทุนราว 600-700 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นในส่วนของรีโนเวทโรงแรมเอเชีย กรุงเทพ ประมาณ 300-400 ล้านบาท และโรงแรมเอเชีย พัทยา ประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งงบลงทุนดังกล่าวจะมาจากการขอสินเชื่อจากธนาคารราว 80-90% ส่วนที่เหลือจะมาจากการออกหุ้นกู้เมื่อปีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ การรีโนเวทห้องพักดังกล่าว คาดการณ์ว่าจะเริ่มทำได้ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ ช่วงเดือน พ.ค. และมีแผนจะปรับขึ้นราคาห้องพักขึ้นมาเป็นระดับ 2,500 บาท/คืน จากปัจจุบันราคาห้องพักเฉลี่ยราว 1,900 บาท/คืน ซึ่งประเมินว่าจะเริ่มเห็นภาพของโรงแรมโฉมใหม่ได้ในช่วงปลายปี 2569 และมั่นใจว่าจะสามารถเข้ามาแข่งขันในตลาดได้ดีกว่าเดิม ซึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวใหม่ๆ เข้ามามากขึ้น โดยปีนี้บริษัทมองรายได้จากธุรกิจโรงแรมจะเติบโตราว 5-10%
ขณะที่ปัจจุบัน บริษัทเริ่มมีลูกค้าในกลุ่มเอกชนเข้ามาใช้บริการในส่วนของการเช่าสถานที่เพื่อจัดสัมมนา จากก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าที่เป็นรัฐบาลเป็นหลัก ซึ่งมั่นใจว่าหากเสร็จสิ้นการรีโนเวทแล้วจะสามารถเพิ่มสัดส่วนลูกค้าในกลุ่มเอกชนได้มากกว่าปัจจุบันอย่างแน่นอน
นอกจากนี้เมื่อช่วงปลายปี 2567 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ทดลองเปิดตลาดขนาดเล็กในบริเวณพื้นที่โรงแรมเอเชียพัทยา ซึ่งได้รับผลตอบรับค่อนข้างดี จึงคาดการณ์ว่าในอนาคตมีโอกาสที่จะปรับพื้นที่ในส่วนของสนามกอล์ฟมาเป็นพื้นที่ของตลาดเพื่อรองรับกับความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น
ส่วนธุรกิจศูนย์การค้ายังมีความท้าทายสูง ปัจจุบันมีอัตราเช่าพื้นที่ 65% มีราคาเช่าราว 560-600 บาทต่อตารางเมตร และมีแผนปรับค่าเช่าขึ้นปีละ 5%
ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนในการปรับเปลี่ยนร้านค้าในศูนย์การค้าให้มีความหลากหลายมากขึ้น เพื่อดึงดูดให้มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากขึ้น หลังปัจจุบันมีสัดส่วนร้านอาหารราว 20-30%, ศูนย์พระเครื่องราว 10% และกลุ่มไอทีสูงสุดที่ราว 60%