BKA ชูผู้นำ “บ้านมือสอง” ตกแต่งใหม่ ลุยขาย IPO 60 ล้านหุ้น เทรด mai กลางเดือนก.พ.นี้

BKA ชูผู้นำธุรกิจซื้อขาย “บ้านมือสอง-NPA” ตกแต่งใหม่ในไทย ลุยเสนอขาย IPO จำนวน 60 ล้านหุ้น จ่อระดมทุนตลาดฯ mai คาดเทรดกลางเดือนก.พ.นี้ หวังดึงเงินต่อยอดธุรกิจ-สร้างแพลตฟอร์ม “Prop Tech” พร้อมชู 5 จุดเด่น หนุนธุรกิจโตต่อเนื่อง


นายพชร ธนวงศ์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BKA เปิดเผยว่า บริษัทฯมุ่งขับเคลื่อนองค์กรสู่การเป็นผู้นำในธุรกิจบ้านมือสองตกแต่งใหม่ ชั้นนำของประเทศ ภายใต้วิสัยทัศน์ “เป็นผู้นำในธุรกิจบริการซื้อขายบ้านมือสอง และทรัพย์สินรอการขายของสถาบันการเงิน (NPA) ตกแต่งใหม่ในประเทศไทย”

โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสามารถให้บริการ การซื้อขายบ้านมือสอง และรีโนเวทบ้าน ให้มีคุณภาพดี มีมาตรฐาน ครอบคลุม  ในประเทศไทย ภายใต้การดำเนินงานที่เป็นเลิศ การบริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยม และความพึงพอใจให้กับทั้งลูกค้า คู่ค้า และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย

ทั้งนี้บริษัทฯมุ่งหวังที่จะเป็นตัวกลางในการให้บริการแก้ปัญหาของผู้ที่อยากขายบ้าน แต่ไม่มีความเชี่ยวชาญ ไม่มีเวลา และไม่มีประสบการณ์ในการเตรียมบ้านให้มีสภาพพร้อมขาย ขณะเดียวกันต้องการช่วยเหลือคนไทยที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยในทำเลที่ดี แต่มีงบประมาณจำกัด เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตของธุรกิจซื้อขายบ้านมือสองในประเทศไทย ผ่านลักษณะการดำเนินงาน 3 กลุ่มธุรกิจ ประกอบด้วย

1.ธุรกิจให้บริการปรับปรุงบ้านมือสองเพื่อขาย (ธุรกิจบ้านแต่ง “Flipping”) ซึ่งเป็นการรับฝากขายบ้านมือสองพร้อมกับการปรับปรุงก่อนขาย เพื่อให้มีสภาพใหม่พร้อมอยู่อาศัย ด้วยการออกแบบที่สวยงาม งานปรับปรุงที่มีคุณภาพ พร้อมรับประกันผลงานและให้บริการหลังการขาย

2.ธุรกิจนายหน้าซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์ หรือการรับฝากขายบ้านมือสอง (ธุรกิจบ้านฝาก) ซึ่งเป็นการรับฝากขายบ้านมือสองตามสภาพเดิม โดยบ้านที่เจ้าของนำมาฝากให้บริษัทฯ ดูแลบริการด้านการตลาดและขาย โดยบริษัทฯ ไม่ได้เข้าไปปรับปรุงทรัพย์สินดังกล่าว

3.ธุรกิจซื้อบ้านมือสองมาปรับปรุงเพื่อขาย (ธุรกิจบ้านตัด) โดยบริษัทฯ รับซื้อบ้านจากเจ้าของบ้านที่ต้องการขาย หรือสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินรอการขาย รวมถึงซื้อบ้านจากการประมูลกับกรมบังคับคดี เพื่อนำมาปรับปรุงหรือรีโนเวทใหม่ และทำการตลาด เพื่อขายต่อให้แก่ลูกค้าที่ต้องการซื้อบ้าน

“BKA เป็นผู้นำธุรกิจบ้านมือสองตกแต่งใหม่ โดยสัดส่วนธุรกิจจะเน้น ธุรกิจบ้านแต่ง “Flipping ซึ่งมีสัดส่วนรายได้อยู่ระดับ78.20% ส่วนธุรกิจบ้านตัดมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 20.93% และธุรกิจบ้านฝากสัดส่วนธุรกิจอยู่ที่ 0.77% นอกจากการมุ่งสู่ผู้นำธุรกิจขายบ้านมือสองตและทรัพย์สินรอการขาย(NPA)ของสถาบันการเงินตกแต่งใหม่ในไทย บริษัทยังเป็นผู้ประกอบการรายต้นๆที่กล้าให้รับประกันการบริการยาวนานถึง 6 เดือน” นายพชร กล่าวเพิ่มเติม

สำหรับโครงสร้างรายได้ปัจจุบันจะเน้นกลุ่มลูกค้าซื้อบ้านระดับ 5-10 ล้านบาทต้นๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีดีมานด์กำลังซื้อจำนวนมาก และเป็นกลุ่มที่ถูกปฏิเสธการปล่อยสินเชื่อไม่มากเมื่อเทียบระดับ 3 ล้านบาท นอกจากนี้ในท้องตลาดบ้านมือ 1 ระดับดังกล่าวหาไม่ได้แล้ว ตรงนี้จึงทำให้เป็นจุดที่เราโฟกัสกลุ่มบ้านมือสองระดับนี้ ส่วนพื้นที่เจาะกลุ่มลูกค้าพื้นที่ส่วนใหญ่ 70% ในพื้นที่นนทบุรี และอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 20%

ทั้งนี้ภายหลังจากการระดมทุนจะรุกหนักในพื้นที่กทม. โดยเชื่อว่าพื้นนี้จะมีทั้งซัพพลายและดีมานด์ที่ดีกว่าพื้นที่นนทบุรีที่เติบโตมาตลอด 10 ปี และเชื่อว่าจะหนุนให้ธุรกิจเติบโตได้ในอนาคต ดังนั้นภายหลังที่เข้าตลาดแล้วเชื่อว่าลูกค้ารู้จักเรามากขึ้นไว้ใจเรามากขึ้น และเชื่อว่าจะทำให้เราเติบโตอีกมากจากเฉลี่ยที่สามารถขายบ้านมือสองราว 200-300 หลังต่อปี

โดยบริษัท ชู 5 จุดเด่นข้อได้เปรียบในการดำเนินธุรกิจ ได้แก่ 1. บ้านมือสองมีความได้เปรียบกว่า บ้านสร้างใหม่ ทั้งในด้านทำเล และราคาที่คุ้มค่ากว่า จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจของผู้หาซื้อบ้าน

2.ด้วย Model ธุรกิจบ้านแต่ง (Flipping)ที่แข็งแกร่ง เพียงแค่วางเงินประกัน ปรับปรุง และขายบ้าน โดยไม่ต้องลงทุนซื้อบ้านทั้งหลังทำให้สามารถประหยัดเงินลงทุนไปได้มาก แต่ยังให้ผลตอบแทนสูง

3.ตลาดบ้านมือสองมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการขับเคลื่อนของเศรษฐกิจในปัจจุบัน รวมทั้งสถาบันการเงินและ AMC มีทรัพย์สินรอการขาย (NPA)ในระบบอีกจำนวนมาก ซึ่งถือเป็นบ้านมือสองที่ตั้งอยู่บนทำเลที่ดี และราคาถือว่าคุ้มค่าต่อการลงทุน

4.BKA จัดได้ว่าเป็นผู้นำในธุรกิจบ้านมือสองที่มีจำนวนบ้านมือสองตกแต่งใหม่พร้อมขายจำนวนมากในตลาด และยังมีการให้บริการปรับปรุงและขายบ้านมือสอง ซึ่งมีรายได้กระจายไปในบ้านแต่ง บ้านฝาก และบ้านตัด หลายโครงการในทำเลที่ดี โดยไม่ได้ Focus โครงการใดโครงการหนึ่งเป็นหลัก และ 5. ผู้บริหารมีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ในธุรกิจมาเป็นระยะเวลากว่า 12 ปี

อีกทั้งมี Website ที่ทำให้สะดวกในการเข้าถึงข้อมูลบ้านมือสองในทุกทำเล และยังมีเครือข่าย Agent ที่สามารถอำนวยความสะดวก และรวดเร็วให้กับลูกค้า ซึ่งช่วยสนับสนุนการขาย และสร้างโอกาสการเติบโตให้กับบริษัทฯและด้วยศักยภาพและจุดเด่นดังกล่าว สะท้อนถึงผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี 2564 – 2566 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 โดยบริษัทฯ มีรายได้รวม 1,304.94 ล้านบาท 1,302.92 ล้านบาท 1,313.59 ล้านบาท และ 870.03 ล้านบาท ตามลำดับ

ขณะที่กำไรสุทธิในปี 2564-2566 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ระดับ 49.77 ล้านบาท 21.44 ล้านบาท 22.27 ล้านบาท และ 27.64 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 3.81 ร้อยละ 1.65 ร้อยละ 1.70 และร้อยละ 3.18 ในปี 2564 – 2566 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 ตามลำดับ

อย่างไรก็ตามในฐานะผู้ให้บริการในธุรกิจบ้านมือสอง เชื่อว่าตลาดบ้านมือสองมีแนวโน้มการเติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยเล็งเห็นถึงข้อได้เปรียบของบ้านมือสองในทำเลเดียวกันกับบ้านโครงการใหม่ ที่มีราคาที่คุ้มค่ากว่า และพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่า เนื่องจากการปรับตัวสูงขึ้นมาโดยตลอดของราคาที่ดินในทำเลที่มีศักยภาพ การเพิ่มขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้างและค่าแรง ทำให้ราคาบ้านโครงการใหม่ปรับตัวสูงขึ้นมาก และมีช่องว่างของราคา (Gap Price) ที่กว้างขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับราคาบ้านมือสอง ประกอบกับโครงการบ้านจัดสรรใหม่ๆ มีทำเลที่ตั้งที่ไกลออกไป

เนื่องจากที่ดินเปล่าผืนใหญ่ใกล้เมืองหาได้ยากขึ้น ในขณะที่บ้านมือสองส่วนใหญ่มีทำเลดี ราคาที่คุ้มค่ากว่าบ้านโครงการใหม่ จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากขึ้น โดยบริษัทฯเน้นการทำธุรกิจบ้านแต่ง (Flipping) เป็นหลัก เนื่องจากเป็นบ้านมือสองตกแต่งใหม่ที่ใช้เงินลงทุนต่ำแต่ให้ผลตอบแทนสูงเมื่อเทียบกับการซื้อบ้านมาปรับปรุงเพื่อขาย (บ้านตัด)อีกทั้งบริษัทฯ พิจารณาว่าตลาดยังมีศักยภาพการเติบโตและยังไม่มีคู่แข่งรายใหญ่ในตลาด

ด้านนางนิสาภรณ์ ฤกษ์อร่าม กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอดไวเซอรี่ พลัส จำกัด ในฐานะบริษัทที่ปรึกษาทางการเงิน เปิดเผยว่า บมจ.บางกอก แอสเซท อินเตอร์กรุ๊ป หรือ BKA ได้รับอนุญาตให้เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่ต่อประชาชนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) แล้ว และอยู่ระหว่างการเตรียมการเพื่อออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป เป็นครั้งแรก (IPO) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในหมวดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง

โดยปัจจุบัน BKA มีทุนจดทะเบียน 105 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 210 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท มีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้ว 75 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 150 ล้านหุ้น โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท หรือคิดเป็นไม่เกินร้อยละ 28.57 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขาย IPO ในครั้งนี้

“สำหรับขั้นตอนขณะนี้บริษัทได้รับอนุมัติจาก ก.ล.ต.ให้เสนอขายกับประชาชนทั่วไปได้แล้ว และในสัปดาห์ที่แล้วมีการประชุมนักวิเคราะห์เพื่อจัดทำบทวิเคราะห์คาดว่าจะเผยแพร่ในเร็วๆนี้ และจะมีการทำโรดโชว์นักลงทุนช่วงปลายเดือนนี้ และคาดว่าเสนอขาย IPO ได้ประมาณกลางเดือนหน้าหรือกลางเดือนก.พ.นี้” นางนิสาภรณ์ กล่าวเพิ่มเติม

สำหรับเม็ดเงินที่ได้จากการระดมทุน นายพชร กล่าว่า บริษัทฯ จะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานเพื่อขยายการเติบโตของบริษัทฯ จากการขยายพอร์ตการให้บริการบ้านแต่ง (Flipping) เพิ่มขึ้นเป็นหลัก รวมถึงนำไปพัฒนาธุรกิจ Property Technology (Prop Tech) โดยสร้าง Platform ตัวกลางในการซื้อขายอสังหาฯ เพื่อให้บริษัทฯสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งผู้ต้องการซื้อและขายบ้านได้หลากหลายและมีจำนวนเพิ่มขึ้น โดยนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหาข้อมูลให้แก่ผู้ที่ต้องการซื้อบ้าน และเทคโนโลยีระบบเสมือนจริง (Virtual Reality) มาใช้ในการแนะนำบ้านให้กับผู้ที่ต้องการซื้อบ้านได้เห็นภาพบ้านเสมือนจริงทางออนไลน์ นอกจากนี้ยังมีแผนชำระคืนเงินกู้ยืมจากบุคคลอื่นทั้งจำนวน

“สำหรับจุดเด่นการลงทุน BKA จะเห็นว่าธุรกิจบ้านมือ 2 จะมีความได้เปรียบกว่าบ้าน 1 มือ ทั้งในด้านทำเลที่ตั้งและราคาคุ้มค่ามากกว่า เนื่องจากที่อยู่ใกล้เมืองนับวันหายากเพราะฉะนั้นโครงการบ้านใหม่ๆจากไกลออกไป ที่ผ่านมาราคาที่ดินมีการปรับตัวสูงขึ้นทุกปี รวมทั้งวัสดุก่อสร้างปรับสูงขึ้น ดังนั้นบ้านมือ 2 จึงมีความคุ้มค่าและเป็นทางเลือกที่น่าสนใจผู้ที่สนใจซื้อบ้าน และตลาดนัดมือสองมีโอกาสเติบโต หากต้องการบ้านมือสองแต่ไม่รู้จะซ่อมแซมยังไงตรงนี้จะช่วยตอบโจทย์ลูกค้า จึงมองว่าธุรกิจนี้ยังเติบโตต่อเนื่อง”

Back to top button