เปิดวิชั่น “ทักษิณ ชินวัตร” ปลุกกระทิงตลาดหุ้นไทย

ทักษิณ ชินวัตร ชี้ปัญหาตลาดหุ้นไทย สั่ง ก.ล.ต.- ตลท. เร่งฟื้นความเชื่อมั่น พร้อมแนะตื่นตัวรับ “บิตคอยน์-คริปโตฯ” ดึงต่างชาติจาก “เอ็นเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์” จดทะเบียนในตลาดหุ้นเชื่อครึ่งหลังปี 68 ผลงานรัฐบาลเริ่มออกผล มองปีหน้า 69 ประเทศฟื้น ปี 70 แข็งแรงมากดันดัชนีได้ถึง 1,800 จุด


นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ Chat with Tony : Bull Rally of Thai Capital Market” จัดโดยหนังสือพิมพ์ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า ตลาดหุ้นไทยปัจจุบันมีอยู่ 3 คำ คือ Trust (ความเชื่อถือ), Confidence (ความเชื่อมั่น) และ Sentiment ซึ่งทั้ง 3 ด้าน ในขณะนี้ยังไม่ค่อยดีนักต้องนำกลับคืนมาให้ได้

ขณะที่ ปัญหาที่ได้รับฟังจากทั้งในฝั่ง ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ต้องมีการพัฒนากันอย่างต่อเนื่อง แต่ที่ผ่านมาการปรับตัวทั้ง ตลท. และ ก.ล.ต.ค่อนข้างช้า จึงมองว่าหลังจากนี้ต้องรวดเร็วมากยิ่งขึ้น แม้กระทั่งบางสิ่งต้องออกเป็นพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ก็ต้องออกได้ทันที ซึ่งฝั่งรัฐมนตรีคลัง นายพิชัย ชุณหวชิร ได้เตรียมไว้หลายเรื่อง

สำหรับเรื่องที่ต้องแก้ไขและปรับปรุงให้ดีขึ้น ได้แก่ 1. บรรษัทภิบาล (Corporate Governance หรือ CG) โดยเน้นความโปร่งใสของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องติดตามพฤติกรรมของทุกบริษัท ตรวจสุขภาพบริษัทเป็นประจำว่ามีการทำ “บัญชี” และมี “ระบบบริหาร” ที่ถูกต้อง และติดตามว่าไม่ได้มีการนำเงินไปใช้ผิดประเภท ซึ่งจะสามารถสร้างความน่าเชื่อถือของตลาดได้

2.ระบบการส่งคำสั่งซื้อขายที่มีความถี่สูง (High Frequency Trade) จากปัจจุบันโรบอทเทรดได้เข้ามาสู่ตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก ซึ่งไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายใดเลย เพราะเมื่อสิ้นวันมีการปิด Position แต่ที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ฯ ชอบ เพราะช่วยในเรื่องปริมาณการซื้อขาย (วอลุ่ม) ประกอบกับมีการได้เปรียบเสียเปรียบกัน ไม่ว่าจะเป็นประเด็นเรื่องของความเร็ว ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องเป็นผู้รักษากติกาที่ดี และมีหน้าที่ทำให้ไม่ให้เกิดการเอาเปรียบกัน

3.การดำเนินการที่ช้า (Slow Action) เมื่อมีการกระทำผิดเกิดขึ้น พบว่าที่ผ่านมามีการดำเนินการหรือออกมาอธิบายได้ค่อนข้างช้า ทำให้นักลงทุนต่างชาติขาดความเชื่อถือ ตั้งแต่เหตุการณ์หุ้น บริษัท มอร์ รีเทิร์น จำกัด (มหาชน) หรือ MORE ซึ่งทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทย โดยล่าสุดกระทรวงการคลัง เตรียมพร้อมที่จะเพิ่มอำนาจให้กับ ก.ล.ต. ให้ทัดเทียมสากลและสามารถจัดการได้ทันที โดยไม่ต้องรอหน่วยงานอื่น

4.บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจเก่า และที่เข้าไปใหม่ ๆ ไม่ค่อยมีบริษัทขนาดใหญ่ โดยรัฐบาลจะต้องร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ในการเชิญชวนบริษัทต่างชาติ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทยให้มากขึ้น ขณะเดียวกัน ต้องมีการจูงใจให้ลงทุนใน Entertainment Complex ซึ่งโครงการดังกล่าว ใช้งบลงทุนราว 5 แสนล้านบาท พร้อมสนับสนุนให้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้วย ซึ่งจะช่วยเพิ่มบริษัทจดทะเบียนให้มากขึ้น

5.หุ้นหลายตัวมี P/BV และ P/E ต่ำ โดยมีแนวคิดสนับสนุนโครงการซื้อหุ้นคืน หรือ Treasury Stock ของบริษัทจดทะเบียน และให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ กำหนดให้บริษัทต่างๆ ต้องวางแผนว่าจะทำอย่างไร ให้ “ราคาหุ้น” กับ “มูลค่าทางบัญชี” ใกล้เคียงกัน เพราะปัจจุบันหุ้นหลายตัวราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี

เราอยู่ในโลกทุนนิยม ดังนั้น ต้องอย่าให้มีการเอาเปรียบกัน และถือเอาประโยชน์จากตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยไม่มีจริยธรรม ถ้าสามารถคุมเกม ทำกติกาให้ชัดเจนและเปิดเผย ความมั่นใจก็จะเกิดขึ้น รัฐบาลก็มีหน้าที่ทำเศรษฐกิจให้เติบโต โดยครึ่งปีหลังงานของรัฐบาลจะเริ่มเห็น และมีแสงสว่างปลายอุโมงค์ดร.ทักษิณ กล่าว

ทั้งนี้ ปี 2569 จะเป็นปีที่ได้เก็บเกี่ยวผลของการพัฒนาที่ประเทศฟื้นตัวขึ้นมา พร้อมให้ความเชื่อมั่นว่า จะใช้ประสบการณ์และความสามารถที่มี ช่วยประเทศเต็มที่ โดยปี 2568 เศรษฐกิจจะเติบโตได้กว่า 3% แน่นอน และปี 2569 จะทำให้ได้ 4% ส่วนปี 2570 จะทำให้ได้ขั้นต่ำ 5% เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น คาดหวังดัชนีหุ้นไทยอาจขยับไปได้ถึง 1,800 จุด ช่วง 3 ปีข้างหน้าภายในรัฐบาลชุดนี้

สำหรับนโยบายที่จะกระตุ้นให้ตลาดทุนฟื้นอย่างก้าวกระโดด มองว่าต้องอัดฉีดเม็ดเงิน ซึ่ง กระทรวงการคลัง มีการศึกษาอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าวันนี้การบริหารยากกว่าต้มยำกุ้ง เพราะฐานราก หรือประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะ SME พังหมดจากหลายเหตุ ตั้งแต่โควิด-19 และกำลังซื้อที่หดไป รวมถึงการแข่งขันกับจีนที่ขาดการดูแล การแข่งขันไม่เป็นธรรม ดังนั้น วันนี้ต้องฟื้นโดยใช้เรื่องใหม่ ๆ

ส่วนมาตรการสร้างความเชื่อมั่นตลาดทุนนั้น รัฐบาลมีหน้าที่สร้างความมั่นใจทางเศรษฐกิจให้ฟื้นตัวได้ และตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องสร้างความโปร่งใส ทั้งกติกาและบริษัทจดทะเบียนให้นักลงทุนเชื่อถือได้ และต้องหามาตรการใหม่ๆ ที่จูงใจเงินลงทุนในตลาดหุ้นมากกว่าพันธบัตร นอกจากนี้ ปัจจุบัน รมว.คลัง กำลังทำกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ซึ่งกองทุนเหล่านี้ จะทำให้มีสภาพคล่องเข้ามาในตลาดมากขึ้น

ขณะเดียวกัน ปัจจุบันกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ มีการลงทุนในต่างประเทศ ดังนั้น จะต้องพยายามให้มาดูโอกาสที่เมืองไทย แต่แน่นอนว่า คนบริหารกองทุนไม่อยากขาดทุน แต่สินค้าในตลาดต้องมีความจูงใจด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ ยังส่งสัญญาณถึงการฟื้น กองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) หลังจากที่รัฐบาลก่อนหน้านี้ยกเลิกไป

โดยต้องดูว่าจะมีการดำเนินการแก้ไขปรับปรุงรูปแบบเงื่อนไขอย่างไรให้น่าสนใจมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่ากองทุนดังกล่าว จะเป็นอีกหนึ่งกองทุนที่ช่วยขับเคลื่อนเม็ดเงินในตลาดหุ้นไทย ในส่วน แบงก์ไร้สาขา (virtual bank) ที่จะเกิดขึ้น เป็นสิ่งพูดกันมานานแล้ว แต่ปัจจุบันการให้ใบอนุญาตยังไม่ออก โดย ธปท.ตั้งไว้ คือ 3 ไลเซนส์ ซึ่งตนว่าน้อยเกินไปสำหรับ 3 ไลเซนส์

อย่างไรก็ตาม หากจะรีเซตตลาดหุ้นไทย มองว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดหากมีเรื่องเดียวที่ต้องทำคือ การเร่งสร้าง Transparency หรือเร่งสร้างความโปร่งใสในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มองว่าเป็นหัวใจสำคัญในการรีเซตตลาดหุ้นไทย ทั้งกติกา บริษัทในตลาด เพราะปลาเน่าตัวเดียวเสียทั้งหมด ดังนั้น ต้องทำตัวนี้ก่อน

“การวิเคราะห์วันนี้ research house ต่าง ๆ ไม่ค่อยขยันขันแข็งเหมือนเมื่อก่อน อาจจะตลาดไม่น่าสนใจ หรือตลาดนักลงทุนต่างประเทศเหลือน้อย ดังนั้น ไม่ต้องห่วงนักลงทุน หากเราสวยเขาก็มาเอง เราต้องทำตัวเองให้สวยก่อน เงินไปทุกที่ที่ทำเงินได้ หากที่ไหนทำเงินไม่ได้เงินก็ไม่มา หากดีมันก็มา นี่คือทุนนิยม เงินจะไหลไปเรื่อย ๆ เราต้องทำตัวเองให้สวยหล่อไว้ก่อน” นายทักษิณ กล่าว

นายทักษิณ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันมีประเด็นที่ก็ต้องถือว่าเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ คือเรื่องของการ “จำนำหุ้น” โดยอาจจะมีการผิดนัดชำระดอกเบี้ย ผิดนัดชำระเงินต้น จนหุ้นถูก ฟอร์ซเซล นักลงทุนจำนวนมากที่ไม่รู้การกระทำของผู้ถือหุ้นใหญ่ว่ามีการเอาหุ้นไปจำนำไว้ แบบนี้ควรมีกฎเกณฑ์ที่ไปกำหนดว่าต้องมีการเปิดเผยเกี่ยวกับการจำนำหุ้น หรือทำธุรกรรมตรงนี้ เพราะว่าบางครั้งนักลงทุนก็มั่นใจว่าบริษัทนั้น ๆ ดูท่าทางไปได้ดี แต่อาจไม่เป็นแบบที่คิดไว้ ทั้งนี้ คิดเร็ว ๆ หากจำนำหุ้นเกิน Trigger Point ต้องรายงาน เพราะเวลาถูกฟอร์ซเซล คนที่รับจำนำไป ต้องรับหุ้นมาไว้ ปัญหาอื่น ๆ ก็จะตามมา

“ต้องบอกว่าเรามี self-made (การตั้งตัวจากไม่มีอะไร) เพราะฉะนั้นตอนตั้งตัวจะไม่มีอะไร ตอนแรกเป็นมวยวัด พอเข้าตลาดต้องเป็นมวยสากล ภาพมวยวัดจึงต้องรีบแก้ออกให้ได้ก่อนจะขึ้นมวยสากล ดังนั้น ถ้าเข้ามวยสากลก่อน แล้วยังเป็นมวยวัดอยู่บริษัทก็เสียหาย ขณะที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องคอยมอนิเตอร์ตลอด เมื่อมีการมอนิเตอร์ดีแล้ว ทุกอย่างดีแล้ว ปัญหาเซอร์ไพร์สตลาดและนักลงทุนจะไม่เกิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องจำนำหุ้น ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ กับ ก.ล.ต.ต้องคุยกันในเรื่องการเปิดเผยข้อมูล ให้มีมากขึ้น” นายทักษิณ กล่าว

ส่วนเรื่องหุ้น IPO นั้น ตนอยากให้เข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ง่ายๆ แต่ต้องเข้มงวด มีกติกาที่ชัดเจนเหมือนกันหมด ซึ่งทุกวันนี้ซัพพลายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ไม่เพียงพอ มาร์เก็ตแคปโตเพียง 2% กว่าๆ ถือว่าน้อยมาก ดังนั้น จึงควรหาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เข้ามามากขึ้น

นายทักษิณ กล่าวต่อว่า การส่งเสริมการลงทุนขนาดใหญ่ รัฐบาลจะมีการส่งเสริมให้มากขึ้น นอกจาก Entertainment Complex จะมีเรื่องของ ดาต้าเซ็นเตอร์, เอไอ ต้องดึงเอไอฮับให้มาอยู่ที่ไทยให้ได้ โดยจะเชื่อมโยงมาถึงค่าไฟ เพราะก่อนหน้านี้ตนพูดถึงเรื่องลดต้นทุนค่าไฟฟ้า 3.70 บาทต่อหน่วย สร้างแรงจูงใจให้กับต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศ โดยเฉพาะด้านเอไอ การพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ รองรับกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมายสมัยใหม่ เนื่องจากอุตสาหกรรมดังกล่าว ต้องใช้ไฟฟ้าจำนวนมาก

ทั้งนี้ รัฐบาลยังมีช่องทางดึงต้นทุนโรงไฟฟ้าให้ลดลงหลายช่องทาง และไทยมีปริมาณสำรองไฟฟ้าส่วนเกิน ทำให้นักลงทุนต่างชาติมองเห็นศักยภาพ และขณะนี้กำลังเจรจากับต่างชาติรายใหญ่อีกหลายราย คาดจะมีเงินลงทุนเข้าประเทศในเร็ว ๆ นี้หลายแสนล้านบาท

“ตนเคยพูดกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานว่า วันนี้โซลาร์เซลล์ลงมาถึง 2 บาท และมีหลายอย่างที่เรารีดค่าไฟฟ้าได้ ซึ่ง ปตท. อาจกระทบนิดนึง แต่เขาเต็มใจว่าต้องลดลง รวมถึงเรื่องเงินส่งรัฐ ซึ่งมองดูแล้วเรื่องลดค่าไฟมีสูง การที่ต่างชาติจะมาลงทุนเขาถามเรื่องค่าไฟก่อน เพราะเป็นแรงจูงใจเรื่องลงทุน จึงต้องรีบทำโดยไม่ช้า” นายทักษิณ กล่าว

ส่วนการพัฒนาประเทศที่เป็นคุณต่อตลาดทุนนั้น ระบบเศรษฐกิจและตลาดทุนไปด้วยกันฉะนั้นต้องทำระบบเศรษฐกิจแข็งแรงให้ได้ โดยสิ่งที่ตนอยากทำ คือ EV จีน และอีโคซิสเต็มจากออโต้โมบิล เรื่องนี้ต้องฝาก BOI ว่าจะดำเนินการอย่างไร ไม่เช่นนั้นระบบนิเวศที่เราสร้างเรื่องรถยนต์ไว้จะพังหมด โดยเรื่องนี้เราต้องรักษาสมดุลให้ได้ ฉะนั้นฝากว่าจะต้องสร้างความสมดุลตรงนี้ให้ได้ เพื่อให้อุตสาหกรรมรถยนต์ไทยยังอยู่ ทุกคนจึงต้องช่วยกันโดยรัฐบาลจะต้องเร่งเศรษฐกิจให้ดีขึ้น

นอกจากนี้ นายทักษิณ ชี้ให้เห็นว่า โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังจะเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งประกาศแล้วว่าจะเปิดทางให้สามารถชำระหนี้ด้วย Bitcoin และจะสนับสนุน Cryptocurrency จะเห็นได้ว่าเรื่องสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ดังนั้น อยากเห็น ก.ล.ต. ปรับตัวสู่ดิจิทัลมากขึ้น และต้องเตรียมเปิดทางให้กับสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อรับกับเทรนด์โลกที่กำลังจะเกิดขึ้น เช่น การอนุญาตให้ซื้อขาย Stable coin ซึ่งรัฐบาลกำลังเตรียมทำ Sandbox อาจเริ่มที่ภูเก็ต เพื่อเปิดรับชำระด้วย Bitcoin เป็นการจัดการโดยรัฐบาล ทำให้ผู้ที่รับชำระไม่มีความเสี่ยง ถือเป็นอีกหนึ่งสกุลเงินที่อยู่ในเทรนด์โลก อย่างไรก็ดี จะเห็นได้ว่าคนที่มี Bitcoin คือคนที่สามารถทำกำไร และมีแนวโน้มในการใช้เงินมากขึ้น

ขณะเดียวกัน มีแนวคิดในการนำพันธบัตรรัฐบาลเข้ามาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้น โดยทำให้สามารถขายได้ตั้งแต่ล็อตเล็ก ๆ มีระยะเวลาที่สั้น ซึ่งได้มีการหารือกับนายกรัฐมนตรี และ รมว.คลัง แล้ว จากทุกวันนี้จะเห็นได้ว่า นักลงทุนสถาบันมีการเก็บพันธบัตรรัฐบาลเอาไว้ ซึ่งไม่ได้ช่วยอะไรต่อระบบเศรษฐกิจเลย

อีกเรื่องหนึ่งที่ ก.ล.ต. กำลังจะทำคือเปิดให้มีการซื้อขายคาร์บอนเครดิต ปัจจุบันประเทศไทยซื้อขายที่ราว 7 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน แต่ที่สิงคโปร์ อยู่ที่ 14 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน ส่วนยุโรปที่ 15 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อตัน หากสามารถเปิดเป็นศูนย์เทรดซื้อขายคาร์บอนเครดิต คนไทยจะได้ราคาดีขึ้น และจะได้ประโยชน์จากการส่งออกด้วย โดยหวังว่าจะเกิดขึ้นเร็ว ๆ นี้

Back to top button