โบรกแนะเก็งกำไรหุ้น “พลังงาน-โรงกลั่น” รับประโยชน์ราคาน้ำมันดิบพุ่ง 3%

โบรกแนะนำเก็งกำไรหุ้นกลุ่มพลังงาน-โรงกลั่นได้ประโยชน์ รับราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น 3.3% PTTEP-TOP-PTT-BANPU มีมุมมองบวกต่อ TOP คาดจะกลับมาจ่ายปันผลงวดครึ่งหลังของปี 67 ที่ 0.8 บาท/หุ้น


ผู้สื่อข่าวรายงานกรณี สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นกว่า 3% ในวันพุธ (15 ม.ค.68) โดยได้ปัจจัยหนุนจากสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ที่ลดลงมากกว่าคาด รวมทั้งการคาดการณ์ที่ว่าอุปทานน้ำมันในตลาดโลกอาจได้รับผลกระทบจากการที่สหรัฐฯ คว่ำบาตรอุตสาหกรรมน้ำมันรัสเซีย

ทั้งนี้ สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.พ. เพิ่มขึ้น 2.54 ดอลลาร์ หรือ 3.28% ปิดที่ 80.04 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนก.ค. 2567

ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนมี.ค. เพิ่มขึ้น 2.11 ดอลาร์ หรือ 2.64% ปิดที่ 82.03 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 2567

สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบลดลง 2 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 412.7 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 10 ม.ค. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนเม.ย. 2565 และต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของสำนักข่าวรอยเตอร์คาดการณ์ว่าจะลดลงเพียง 992,000 บาร์เรล

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด มองบวกจากราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) และเวสต์เท็กซัส (WTI) ยังอยู่ในระดับสูง โดยวานนี้ปรับตัวขึ้น 3.3% เมื่อวานนี้ และเพิ่มขึ้น 12% ตั้งแต่ต้นปี ทำให้ราคาใกล้แตะ 80 เหรียญต่อบาร์เรล โดยได้รับปัจจัยหนุนจากการเกิด POLAR VORTEX ที่ขั้วโลก และการคว่ำบาตรอุตสาหกรรมน้ำมันของรัสเซียจากกระทรวงการคลังสหรัฐ รวมถึงการเดินหน้าสู่ยุค TRUM 2.0

อีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลบวกคือ สำนักงานสารสนเทศด้านพลังงานของสหรัฐฯ (EIA) เปิดเผยว่าสต็อกน้ำมันดิบลดลง 2 ล้านบาร์เรล สู่ระดับ 412.7 ล้านบาร์เรล ซึ่งต่ำที่สุดตั้งแต่เดือนเมษายน 2565 และต่ำกว่าคาดการณ์ที่ลดลงเพียง 0.9 ล้านบาร์เรล

อย่างไรก็ตาม ค่าเฉลี่ยราคาน้ำมันดิบ WTI ในเดือนมกราคม 2568 อยู่ที่ 75.94 เหรียญฯ ต่อบาร์เรล ซึ่งเพิ่มขึ้น 5.4% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา จึงมีโอกาสสูงที่เงินเฟ้อในสหรัฐฯ จะทรงตัวหรือขยับขึ้นเล็กน้อย ส่งผลให้ FED อาจส่งสัญญาณนโยบายการเงินที่เข้มงวด (hawkish) ในอนาคต

สำหรับภาพรวม SET INDEX คาดได้รับผลบวกจากปัจจัยดังกล่าว โดยกลุ่มพลังงานและโรงกลั่นซึ่งมีน้ำหนักตลาด (market cap) สูงถึง 1 ใน 3 จะเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก

แนะนำเก็งกำไรหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันดิบที่ปรับตัวขึ้น โดยเฉพาะบริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ซึ่งราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 8.4% ตั้งแต่ต้นปี ขณะที่ธุรกิจโรงกลั่น เช่น บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ TOP ลดลง 5.3%, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ลดลง 1.6%, และบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU ลดลง 12.5%

สำหรับ TOP มีปัจจัยบวกหนุน คาดว่าจะกลับมาจ่ายปันผลครึ่งหลังปี 2567 ที่ 0.8 บาท/หุ้น (dividend yield 3%) และคาดจ่ายรวมทั้งปี 2567 ที่ 2 บาท/หุ้น (dividend yield 7%) หลังจากการกังวลเรื่อง CFP ผ่อนคลายลงแล้ว

Back to top button