“ไทย-เอฟตา” ลงนาม FTA ฉบับแรกในยุโรป สร้างโอกาสยุคทอง “การค้า-ลงทุน”

นายกฯ “แพทองธาร” เป็นสักขีพยานลงนาม FTA “ไทย-เอฟตา” ฉบับแรกที่ทำกับยุโรป ด้าน รมว.พาณิชย์ ชี้ สร้างโอกาสยุคทองการค้าและการลงทุน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (23 ม.ค.68) เวลา 12:00 น. ตามเวลาท้องถิ่น สมาพันธรัฐสวิส นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมลงนามความตกลงการค้าเสรี (Free Trade Agreement : FTA) ระหว่างไทยกับสมาคมการค้าเสรีแห่งยุโรป (European Free Trade Associations : EFTA) หรือ เอฟตา โดยมีตัวแทนจากประเทศต่าง ๆ ร่วมลงนาม ประกอบด้วย กี ปาร์เมอแล็ง รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจสวิตเซอร์แลนด์, ซิซีลี เมียร์เซ็ท รัฐมนตรีกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรมนอร์เวย์, โดมินิค แฮชเลอร์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศลิกเตนสไตน์ และ มาร์ติน เอยอบสัน ปลัดกระทรวงการต่างประเทศไอซ์แลนด์

โดยมี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย และ เคิร์ท เจเกอร์ เลขาธิการเอฟตา ร่วมเป็นสักขีพยาน ที่ House of Switzerland เมืองดาวอส สมาพันธรัฐสวิส

นายพิชัย กล่าวว่า FTA ไทย-เอฟตา เป็น FTA ฉบับแรกของไทยกับยุโรปที่ได้เจรจามา 2 ปี และรัฐบาลนี้ได้หาข้อสรุปร่วมกับเอฟตาจนการเจรจาประสบความสำเร็จใน 3 เดือน วันนี้นายกรัฐมนตรีให้เกียรติเป็นสักขีพยานและมีผู้แทนจากสวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอซ์แลนด์ และลิกเตนสไตน์ มาร่วมลงนาม FTA กับไทย

เรื่องนี้จะปรากฏไปทั่วโลก เป็นการแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยกลับเข้ามาสู่แผนที่โลกแล้ว หลังจากที่เราหายไป 10 ปี ที่ไม่มีการเจรจาเขตการค้าเสรี ทั้งนี้ FTA ไทย-เอฟตา เป็น FTA ที่มีมาตรฐานใหม่ยกไปอีกระดับหนึ่ง ทำให้ขยายโอกาสการเจรจาสู่ FTA กับอียู (EU), ยูเออี (UAE) และประเทศต่าง ๆ ในอนาคต นอกจากนี้ แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีมาตรฐานที่ดีขึ้น ซึ่งไทยจะได้ประโยชน์อย่างเต็มที่ทั้งด้านภาพพจน์ การลงทุน และการค้า

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยกำลังจะเป็นแหล่งลงทุนของประเทศต่าง ๆ ที่จะไหลเข้ามา โดยปี 2567 มีการลงทุนเข้ามามากกว่า 1 ล้านล้านบาท และปี 2568 จะไหลเข้ามามากขึ้น เป็นนิมิตหมายที่ดี คาดว่าจะได้ประโยชน์อีกหลายพันล้านบาท และอนาคตการลงทุนที่เกิดขึ้นเชื่อว่า จะมีอีกเป็นหมื่นเป็นแสนล้านบาท เพราะ FTA ฉบับนี้จะนำสู่การเจรจา FTA กับอียู และมีหลายประเทศหลั่งไหลเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มมากขึ้น

นายพิชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ไทยต้องเร่งให้มี FTA มากขึ้น โดยให้มากกว่าหรือเท่ากับเวียดนาม เพื่อแข่งขันกับเวียดนามได้ เพราะ FTA จะเป็นแต้มต่อทำให้ไม่ต้องเสียภาษี และแข่งขันกับประเทศอื่นได้ ซึ่งมีหลายประเทศสนใจเข้ามาลงทุน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น PCB Data Center หรือ AI สำหรับผู้ประกอบการไทยนั้น ถือเป็นเรื่องที่ดีที่ต้องปรับตัวให้มีมาตรฐานที่ดีขึ้นเพื่อขายของไปทั่วโลก

“ขอยืนยันว่าจะเป็นยุคทองของไทย เหมือนที่ทรัมป์พูดว่าเป็นยุคทองของอเมริกา ผมก็เชื่อว่าจะเป็นยุคทองของไทยตั้งแต่นี้เป็นต้นไป และต้องช่วยกันแก้เรื่องหนี้ ตอนนี้เรามีเงินลงทุนเข้ามาเยอะ ส่งออกเราก็ดีปีที่แล้วทั้งปี +5.4% และปีนี้ก็จะดีต่อไปประเทศไทยเจริญขึ้นเชื่อว่าไม่กี่เดือน ท่านนายกฯ แพทองธาร เข้ามาภาพของประเทศไทยเปลี่ยนแปลงชัดเจน ท่านนายกฯ มีความคิด มีวิธีการ เป็นที่นิยม มีแต่คนอยากขอเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ถ้าเรารักษาแบบนี้ต่อไปประเทศเราเจริญแน่นอน” นายพิชัย กล่าว

สำหรับขั้นตอนภายหลังพิธีลงนามในวันนี้ กระทรวงพาณิชย์จะเผยแพร่ผลการเจรจาและเปิดรับฟังความเห็นจากทุกภาคส่วน ก่อนเสนอรัฐสภาให้ความเห็นชอบตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ และเมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้ว หน่วยงานภายในประเทศของไทยจะต้องดำเนินการออกกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องเพื่อรองรับการมีผลบังคับใช้ของ FTA ฉบับนี้ให้เรียบร้อย ไทยจึงจะสามารถให้สัตยาบัน ซึ่งคาดว่ากระบวนการทั้งหมดจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี ในช่วงระหว่างนี้ภาคเอกชนไทย จึงควรศึกษาแนวทางการใช้ประโยชน์จากความตกลงในการขยายโอกาสทางธุรกิจเพื่อให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ทันทีที่ความตกลงมีผลบังคับใช้

ข้อมูลจากกระทรวงพาณิชย์ ระบุว่า ปี 2567 ไทยกับเอฟตา มีมูลค่าการค้ารวม 11,788.37 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็น 1.94% ของการค้าทั้งหมดของไทยกับโลก ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 19.22% โดยไทยส่งออกไปเอฟตา 4,225.01 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และนำเข้าจากเอฟตา 7,563.35 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

  • สินค้าส่งออกสำคัญของไทยไปเอฟตา ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ, นาฬิกาและส่วนประกอบ, เหล็กและผลิตภัณฑ์, อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป, เครื่องใช้สำหรับเดินทาง, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ, แผงควบคุมกระแสไฟฟ้า, เครื่องสำอาง, เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ, ผลิตภัณฑ์พลาสติก และข้าว
  • สินค้านำเข้าสำคัญของไทยจากเอฟตา ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ, นาฬิกาและส่วนประกอบ, เนื้อสัตว์, ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม, ยากำจัดศัตรูพืช, เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ, เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ, เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์, สัตว์นำสด, แช่เย็น, แช่แข็ง, และแปรรูปเคมีภัณฑ์

Back to top button