คัด 5 หุ้น ลุ้นโชว์กำไรไตรมาส 4/67 โตเด่น

เปิด 5 หุ้นเด่น “SAPPE-MAGURO-HMPRO-TIDLOR-SHR” ที่มีแนวโน้มผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 4/67 เติบโตอย่างโดดเด่นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมข้อมูลบทวิเคราะห์ที่นำเสนอแนวโน้มผลประกอบการงวดไตรมาส 4 และงวดปี 67 ของบริษัทจดทะเบียนที่เตรียมทยอยประกาศออกมา เพื่อประกอบการตัดสินใจลงของนักลงทุนที่สนใจหุ้นที่มีผลผลการดำเนินงานเติบโตโดดเด่น 5 แห่ง ประกอบด้วย บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE, บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO, บริษัท เงินติดล้อ จำกัด (มหาชน) หรือ TIDLOR, บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO และ บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด หรือ PI ระบุในบทวิเคราะห์วานนี้ (24 ม.ค.68) แนะนำ “ซื้อ” หุ้น SAPPE ราคาเป้าหมาย 70 บาท คาดการณ์ว่าบริษัทจะรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/67 ที่ 207 ล้านบาท เติบโต 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า หากตัดรายการพิเศษจะมีกำไรปกติ 202 ล้านบาท เติบโต 34% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนจากยอดขายที่กลับมาฟื้นตัว

โดยยังมีมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตในระยะกลางถึงยาวจากความสามารถในการแข่งขันที่ดี ซึ่งสะท้อนผ่านยอดขาย MOGU MOGU ที่เติบโตได้ดีกว่าเครื่องดื่มใน Category เดียวกัน ขณะที่ระยะสั้นแนวโน้มการเติบโตปี 68 มีโอกาสเผชิญความท้าทายจากสภาพอากาศ ท่ามกลางกำลังการผลิตให้ที่จะเข้ามาในไตรมาส 2/68 แต่ด้วย Valuation ที่ปรับตัวลดลง สะท้อนความกังกังวลไปค่อนข้างมากแล้วสวนทางกับกำไรปี 68 ที่คาดการณ์ว่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่ ทำให้ปรับคำแนะนำขึ้นจาก “ถือ” เป็น “ซื้อ” ที่มูลค่าพื้นฐาน 70 บาท

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด หรือ TISCO ระบุในบทวิเคราะห์วานนี้ แนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท MAGURO คาดการณ์กำไรในไตรมาส 4/67 จะแตะระดับสูงสุดใหม่ที่ 33 ล้านบาท โดยได้รับแรงหนุนจากแผนขยายกิจการของ MAGURO ผู้บริหารรายงานว่าผลตอบรับจาก Tonkatsu Aoki (ทงคัตสึ อาโอกิ) เป็นไปอย่างน่าประทับใจ โดยมูลค่าการสั่งอาหารเฉลี่ยสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึง 50%

ดังนั้น MAGURO วางแผนที่จะเพิ่มสาขาอีก 4 แห่งภายในครึ่งแรกของปี 68 พร้อมกับวางแผนปรับปรุงสาขาประมาณ 6 แห่งด้วยงบประมาณ 25 ล้านบาท อย่างไรก็ตามยังคงคาดหวังว่า MAGURO จะสร้างการเติบโตของกำไรเฉลี่ยต่อปีที่ 29% เป็น 129-159 ล้านบาทในปี 68-69 จากแผนการขยายกิจการอย่างก้าวหน้า การปรับปรุงส่วนประสมผลิตภัณฑ์ และการประหยัดต่อขนาดที่เพิ่มขึ้น จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ MAGURO พร้อมมูลค่าที่เหมาะสมที่ 24.25 บาท

นอกจากนี้บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด ยังแนะนำ “ซื้อ” หุ้น TIDLOR พร้อมประมาณการกำไรในไตรมาส 4/67 ที่เติบโต 12.4% จากปีก่อน และ 2.3% จากไตรมาสก่อนหน้า เป็น 1.01 พันล้านบาท สอดคล้องกับประมาณการเดิมของฝ่ายวิจัย และบ่งชี้ถึงกำไรสุทธิประจำปี 67 ที่เติบโต 10.8% จากปีก่อน เป็น 4,199 ล้านบาท มูลค่าของ TIDLOR ยังน่าดึงดูด โดยหุ้นซื้อขายที่ PER เพียง 11.6 เท่าสำหรับปี 67 และ 10 เท่าสำหรับปี 68 ด้วยคุณภาพสินทรัพย์ที่อยู่ภายใต้การควบคุม ซึ่งมีความเสี่ยงด้าน downside ของผลกำไรควรมีจำกัด ดังนั้นคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ TIDLOR ด้วยมูลค่าที่เหมาะสมเท่ากับ 19 บาท/หุ้น (หมายถึง PER 11.4 เท่าสำหรับปี 68)

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์วานนี้ แนะนำ “ซื้อ” หุ้น HMPRO คาดการณ์ยอดขายไตรมาส 4/67 ที่ 1.73 หมื่นล้านบาท เติบโต 8.6% จากไตรมาสก่อน และเติบโต 2.5% จากปีก่อนหน้า โดยการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมคาดการณ์ว่าจะฟื้นตัวดีขึ้นจากไตรมาส 1/67 ทั้งในส่วนของ KomePro และ MegaHome คาดการณ์กำไรสุทธิที่ 1.69 พันล้านบาท โต 17.7% จากไตรมาสก่อน และเติบโต 1.2% จากปีก่อนหน้า และคาดการณ์ยอดขายปี 67 อยู่ที่ 6.8 หมื่นล้านบาท โต 0.02% และกำไรสุทธิที่ 6.4 พันล้านบาท โต 0.5% เชื่อว่ายอดขายผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 3/67 และในปี 68 อาจเห็นการทยอยฟื้นตัวของยอดขาย จึงคงคำแนะนำซื้อราคาพื้นฐาน 9.85 บาท

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ DAOL ระบุในบทวิเคราะห์วานนี้ คงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น SHR ราคาเป้าหมายปี 68 ที่ 2.60 บาท โดยคาดการณ์กำไรปกติไตรมาส 4/67 จะอยู่ที่ 127 ล้านบาท (ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ เบื้องต้นที่ราว 110 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 61 จากปีก่อน และฟื้นตัวจากขาดทุนปกติในไตรมาส 3/67 ที่ -20 ล้านบาท

โดยมัลดีฟส์ถือว่าโตได้ดีกว่าคาดการณ์จากการรุกนักท่องเที่ยวใน Middle East ได้เพิ่มมากขึ้น (RevPAR ที่ 16% จากปีก่อน และโต 48% จากไตรมาสก่อนหน้า) ด้าน SO Maldives จะมีการรับรู้ส่วนแบ่งขาดทุนลดลงเหลือ -30 ล้านบาท จากไตรมาส 3/67 ที่ -60 ล้านบาท (เดือน ธ.ค.67 เป็นจุดที่ดีที่สุดของ SO โดยมีผลขาดทุนเหลือเพียง 3-5 ล้านบาท) ส่วนไทยโตได้ดีตามคาด (RevPAR ที่โต 13% จากปีก่อน และโต 54% จากไตรมาสก่อน) ประกอบกับมีดอกเบี้ยจ่ายที่ลดลงได้ดี (ลดลง 16% จากปีก่อน และลดลง 12% จากไตรมาสก่อน) จากการ Refinance เป็นหุ้นกู้เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ยังคงประมาณการกำไรปกติปี 68 อยู่ที่ 291 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 98% จากปีก่อน จากฐานต่ำในปี 67 และมีการบริหารค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่ดีขึ้นได้อีกอย่างต่อเนื่อง ขณะที่คาดการณ์กำไรไตรมาส 1/68 จะยังโตได้ทั้งปีก่อนและไตรมาสก่อนได้อย่างต่อเนื่อง เพราะยังเป็นช่วง High season ที่ไทยและมัลดีฟส์ ประกอบกับคาดการณ์ว่าจะเห็นส่วนแบ่งขาดทุนจาก SO Maldives ลดลงได้อีกจากไตรมาส 4/67 ราคาหุ้นลดลง 12% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาเมื่อเทียบกับ SET ซึ่ง underperform its peers เพราะความกังวลผลการดำเนินงานที่ SO Maldives ฟื้นตัวช้ากว่าคาด แต่จากกำไรไตรมาส 4/67 ที่จะดีกว่าคาดการณ์

ประกอบกับมี EV/EBITDA ปี 67 ที่เพียง 9.8 เท่า (-2.00SD below 5-yr average EV/EBITDA) และมี PBV เพียง 0.5 เท่า ซึ่งถูกที่สุดในกลุ่มท่องเที่ยว ขณะที่มีพัฒนาการที่ดีในเรื่องของดอกเบี้ยจ่ายที่จะลดลงได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงกำไรไตรมาส 1/68 จะยังโตจากปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้าได้ต่อจึงแนะนำ “ซื้อ”

Back to top button