“เอกภาวิน” มอง SET ปีนี้ทะลุ 1,500 จุด แนะลงทุน 3 ธีมปัจจัยบวกเฉพาะตัว

“เอกภาวิน สุนทราภิชาติ” มองดัชนีปีนี้มีโอกาสทะลุระดับ 1,500 จุด แนะจับตาประชุม “เฟด” ปลายสัปดาห์พร้อมชู 3 ธีมเด่นน่าลงทุน ได้แก่ “กลุ่มอุปโภคบริโภค-ปันผลสูง-กำไรโตเด่น”


นายเอกภาวิน สุนทราภิชาติ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด หรือ INVX เปิดเผยในรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันนี้ (27 ม.ค.68) ว่า สัปดาห์นี้มีเรื่องเด่นที่ต้องจับตาในช่วงปลายสัปดาห์นั่นคือการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ช่วงวันที่ 29-30 ม.ค.68 ซึ่งตลาดฯ คาดการณ์ว่าจะคงดอกเบี้ยไว้รอนโยบายของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่อาจมีความเสี่ยงเรื่องเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยครั้งแรกในช่วงกลางปีนี้

ทั้งนี้ หากเป็นภาพของการคงดอกเบี้ยของเฟด จะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนค่าลงในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาจนทำให้มีเงินทุนต่างชาติไหลเข้ามาในประเทศ จะกลับมาแข็งค่าขึ้น และกระทบต่อค่าเงินบาทให้อ่อนตัวเล็กน้อย และเงินทุนต่างชาติที่จะไหลเข้ามาในประเทศอาจจะชะลอตัวลงได้

ดังนั้นจึงคาดการณ์ว่าดัชนีกรอบบนยังถูกจำกัดอยู่บริเวณ 1,360-1,365 จุด และอาจมีดาวน์ไซส์อยู่เล็กน้อย หลังจากที่ปรับตัวลงมาตั้งแต่ระดับ 1,500 จุด ทำให้มีมูลค่าที่น่าสนใจ เทรด P/E ประมาณ 14 เท่า ถ้าอิงกับ earnings ตลาดในปีนี้ ที่ดัชนีอยู่ที่ระดับ 1,340 จุดลงไป เชื่อว่าจุดที่เป็น Bottom จะอยู่ที่บริเวณ 1,330 จุด ซึ่งถ้าเทียบกับตอนนี้จะพบว่ามีดาวน์ไซด์อีกเล็กน้อย หากตั้งรับที่บริเวณดังกล่าวจะได้ต้นทุนที่ดี

ขณะที่สัปดาห์นี้ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC เตรียมประกาศผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 4 และงวดปี 67 ซึ่งถูกคาดการณ์ว่าจะขาดทุน ส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงมา

นายเอกภาวิน กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวว่า การเติบโตของ SCC ขึ้นอยู่กับธุรกิจปิโตรเคมี ที่เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจีน ซึ่งการเติบโตยังไม่ชัดเจน โดยดัชนี PMI เช้านี้กลับมาหดตัวอีกครั้งจากเดือนธ.ค.อยู่ที่ระดับ 50.10 จุด ขณะที่เดือน ม.ค. อยู่ที่ระดับ 49.10 จุด ทำให้ภาพรวมของเศรษฐกิจในจีนยังไม่ค่อยฟื้นตัว และกระทบต่อภาคปิโตรเคมี ส่วนประเด็นราคาหุ้น หากอยู่ในคาดการณ์ก็อาจไม่สะท้อนราคาหุ้นมากนัก แต่หากออกมาขาดทุนกว่าคาดการณ์ก็อาจจะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวลดลงได้ต่อ

สำหรับธุรกิจที่เชื่อมโยงกับการบริโภคเศษกระดาษในประเทศจีน อย่าง SCC, บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC, บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP ยังมองว่าธุรกิจยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน ดังนั้นหากนักลงทุนที่มีหุ้นในกลุ่มนี้อยู่ ไม่แนะนำให้ซื้อเพิ่มเพื่อถัวเฉลี่ย เนื่องจากมีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวลดลงได้อีก และแนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่ม Dometic Play ตัวอื่นที่มีแนวโน้มผลการดำเนินงานที่น่าสนใจ

ส่วนแนวโน้มตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยที่เตรียมประกาศออกมาในช่วงกลางเดือนหน้าคาดการณ์ว่าจะออกมาดี จากฐานที่ต่ำในช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และตัวเลขส่งออกที่ออกมาเติบโต แต่ยังมีความเสี่ยงระยะสั้นคือเรื่องนโยบายของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยผลของนโยบายอาจจะได้เห็นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ หรือช่วงปีหน้า

ดังนั้นระยะสั้นมองว่าตลาดหุ้นไทยยังไม่มีการกลับตัวที่ชัดเจน เน้นตั้งรับในช่วงระดับ 1,330 จุด เนื่องจากมองดัชนีปีนี้มีโอกาสขึ้นไปยืนเหนือ 1,500 จุดได้ จึงมีอัพไซด์อยู่พอสมควร หากเทียบกับระดับปัจจุบัน

สำหรับกลยุทธ์ในการลงทุน เน้น 3 ธีมที่น่าสนใจ เช่น กลุ่มอุปโภคบริโภค รับประโยชน์ช่วงเทศกาลตรุษจีน และมาตรการ Easy E-Receipt 2.0 ได้แก่ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) หรือ CPAXT, บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL และ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC, กลุ่มปันผลเด่น แนวโน้มผลประกอบการเติบโตดี ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB และ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL

รวมถึงกลุ่มผลการดำเนินงานเติบโตทั้งจากปีก่อน และไตรมาสก่อนหน้า ได้แก่ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TRUE และ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC

Back to top button