ก.ล.ต.ฟันแก๊งปั่นหุ้น MAX-EIC-NEWS รวด 13 ราย สั่งปรับ 155 ล้าน พบบ้านใหญ่อุดรโดนด้วย

ก.ล.ต.ลงโทษทางแพ่งแก๊งปั่นหุ้น MAX-EIC-NEWS รวม 13 ราย สั่งปรับ 155 ล้านบาท พบบ้านใหญ่อุดรโดนด้วย


สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยการดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด 13 ราย กรณีสร้างราคาหลักทรัพย์ ได้แก่ 1.) บริษัท แมกซ์ เมทัล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ MAX, 2.) บริษัท อุตสาหกรรม อีเล็คโทรนิคส์ จำกัด (มหาชน) หรือ EIC, 3.) บริษัท นิวส์ เน็ตเวิร์ค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ NEWS, 4.) ใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้นสามัญ รุ่นที่ 5 ของ NEWS (NEWS-W5) โดยเรียกให้ชำระค่าปรับทางแพ่งรวม 155,092,540 บาท กับผู้กระทำความผิดทั้ง 13 ราย

โดย ก.ล.ต. ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลาดหลักทรัพย์) เมื่อปี 2559 – 2560 และตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่า ผู้กระทำความผิดจำนวน 13 ราย ที่มีความสัมพันธ์กันทั้งทางการเงินและความสัมพันธ์ส่วนบุคคล ได้แก่ 1.) นายยรรยงค์ อินทรสงเคราะห์, 2.) นายเอกวิชญ์ กมลเทพา, 3.) นางวรณัน เลิศกุลธรรม 4.) นายภาณุรักษ์ แสงอร่าม, 5.) นางสาวกรรณิดา ตั้งกิจตรงเจริญ, 6.) นายกรวิช อัศวกุล, 7.) นางสาวกัญจนารัศม์ วงศ์พันธุ์, 8.) นายสุวิทย์ พิพัฒน์วิไลกุล, 9.) นางอรพิน พิพัฒน์วิไลกุล 10.) นายพิสิษฏ์ พิพัฒน์วิไลกุล

11.) นายสงกรานต์ ตันศิริ, 12.) นายภควันต์ วงษ์โอภาสี และ 13.) นางมะลิวัลย์ วงศ์ชินศรี ได้ร่วมกันส่งคำสั่งซื้อขายหลักทรัพย์ในลักษณะที่ทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจผิดเกี่ยวกับราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ และส่งคำสั่งซื้อขายในลักษณะต่อเนื่องกัน โดยมุ่งหมายให้ราคาหรือปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ผิดไปจากสภาพปกติของตลาด ในระหว่างเดือนสิงหาคม – พฤศจิกายน 2559 โดยมีรายละเอียดดังนี้

กรณีสร้างราคาหุ้น MAX ระหว่างวันที่ 4 – 23 สิงหาคม 2559 มีผู้กระทำความผิด รวม 11 ราย ได้แก่ 1.) นายยรรยงค์, 2.) นายเอกวิชญ์, 3.) นางวรณัน, 4.) นายภาณุรักษ์, 5.) นางสาวกรรณิดา, 6.) นายกรวิช, 7.) นางสาวกัญจนารัศม์, 8.) นายสุวิทย์, 9.) นางอรพิน, 10.) นายภควันต์ และ 11.) นางมะลิวัลย์ ได้ร่วมกันทำให้ราคาหุ้นผิดไปจากสภาพปกติของตลาด ซึ่งมีผลทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นจาก 0.16 บาท เป็น 0.21 บาท และปริมาณการซื้อขายเพิ่มสูงขึ้นจาก 5,387.36 ล้านหุ้น เป็น 10,452.76 ล้านหุ้น

กรณีสร้างราคาหุ้น MAX ระหว่างวันที่ 14 – 25 พฤศจิกายน 2559 มีผู้กระทำความผิดรวม 10 ราย ได้แก่ 1.) นายยรรยงค์, 2.) นายเอกวิชญ์, 3.) นายภาณุรักษ์, 4.) นางสาวกรรณิดา, 5.) นายกรวิช, 6.) นางสาวกัญจนารัศม์ 7.) นายสุวิทย์, 8.) นายพิสิษฏ์, 9) นายภควันต์ และ 10.) นางมะลิวัลย์ ได้ร่วมกันทำให้ราคาหุ้นผิดไปจากสภาพปกติของตลาด ซึ่งมีผลทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นจาก 0.15 บาท เป็น 0.16 บาท และปริมาณการซื้อขายเพิ่มสูงขึ้นจาก 6,445.49 ล้านหุ้น เป็น 9,676.69 ล้านหุ้น

กรณีสร้างราคาหุ้น EIC ระหว่างวันที่ 4 – 26 สิงหาคม 2559 มีผู้กระทำความผิดรวม 10 ราย ได้แก่ 1.) นายยรรยงค์, 2.) นายเอกวิชญ์, 3.) นายภาณุรักษ์, 4.) นางสาวกรรณิดา, 5.) นางสาวกัญจนารัศม์, 6.) นายสุวิทย์ 7.) นางอรพิน, 8.) นายพิสิษฏ์, 9.) นายภควันต์ และ 10.) นางมะลิวัลย์ได้ร่วมกันทำให้ราคาหุ้นผิดไปจากสภาพปกติของตลาด ซึ่งมีผลทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นจาก 0.88 บาท เป็น 1.34 บาท และปริมาณการซื้อขายเพิ่มสูงขึ้นจาก 631.25 ล้านหุ้น เป็น 1,304.43 ล้านหุ้น

กรณีสร้างราคาหุ้น EIC ระหว่างวันที่ 10 ตุลาคม – 23 พฤศจิกายน 2559 มีผู้กระทำความผิดรวม 9 ราย ได้แก่ 1.) นายยรรยงค์, 2.) นายเอกวิชญ์, 3.) นายภาณุรักษ์, 4.) นางสาวกรรณิดา, 5.) นางสาวกัญจนารัศม์, 6.) นายสุวิทย์ 7.) นายพิสิษฏ์, 8.) นายภควันต์ และ 9.) นางมะลิวัลย์ ได้ร่วมกันทำให้ราคาหุ้นผิดไปจากสภาพปกติของตลาด ซึ่งมีผลทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นจาก 0.97 บาท เป็น 1.36 บาท และปริมาณการซื้อขายเพิ่มสูงขึ้นจาก 144.19 ล้านหุ้น เป็น 1,208.98 ล้านหุ้น

กรณีสร้างราคาหุ้น NEWS ระหว่างวันที่ 25 สิงหาคม – 9 กันยายน 2559 มีผู้กระทำความผิดรวม 10 ราย ได้แก่ 1.) นายยรรยงค์, 2.) นายเอกวิชญ์, 3.) นายภาณุรักษ์, 4.) นางสาวกรรณิดา, 5.) นายกรวิช, 6.) นางสาวกัญจนารัศม์, 7.) นายสุวิทย์, 8.) นางอรพิน, 9.) นายภควันต์ และ 10.) นางมะลิวัลย์ ได้ร่วมกันทำให้ราคาหุ้นผิดไปจากสภาพปกติของตลาด ซึ่งมีผลทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นจาก 0.16 บาท เป็น 0.25 บาท และปริมาณการซื้อขายเพิ่มสูงขึ้นจาก 13.43 ล้านหุ้น เป็น 411.70 ล้านหุ้น

กรณีสร้างราคาหลักทรัพย์ NEWS-W5 ระหว่างวันที่ 25 สิงหาคม – 7 กันยายน 2559 มีผู้กระทำความผิดรวม 9 ราย ได้แก่ 1.) นายยรรยงค์, 2.) นายเอกวิชญ์, 3.) นายภาณุรักษ์, 4.) นางสาวกรรณิดา, 5.) นายกรวิช, 6.) นางสาวกัญจนารัศม์, 7.) นายสุวิทย์, 8.) นายสงกรานต์ และ 9.) นายภควันต์ ได้ร่วมกันทำให้ราคาหลักทรัพย์ผิดไปจากสภาพปกติของตลาด ซึ่งมีผลทำให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นจาก 0.04 บาท เป็น 0.07 บาท และปริมาณการซื้อขายเพิ่มสูงขึ้นจาก 1.65 ล้านหน่วย เป็น 198.64 ล้านหน่วย

การกระทำของบุคคลดังกล่าวข้างต้นเป็นความผิดฐานสร้างราคาหลักทรัพย์ MAX EIC NEWS และ NEWS-W5 ตามมาตรา 243 ประกอบมาตรา 244 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 (พระราชบัญญัติหลักทรัพย์) ประกอบมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งต้องระวางโทษตามมาตรา 296 แห่งพระราชบัญญัติฉบับเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ซึ่งแก้ไขโดยพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2559 (พระราชบัญญัติหลักทรัพย์ซึ่งแก้ไขโดยฉบับที่ 5) ยังคงบัญญัติเป็นความผิดตามมาตรา 244/3(1)(2) และมาตรา 244/5 ซึ่งต้องระวางโทษตามมาตรา 296 มาตรา 296/1 และมาตรา 296/2 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ซึ่งแก้ไขโดยฉบับที่ 5 ซึ่งมาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ฉบับที่ 5) พ.ศ. 2559 บัญญัติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้กับการกระทำความผิดดังกล่าวได้

ทั้งนี้ คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับผู้กระทำความผิดทั้ง 13 ราย โดยกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่ง โดยให้ผู้กระทำความผิดชำระค่าปรับทางแพ่ง ดังนี้ 1.) นายยรรยงค์ จำนวน 4,516,129 บาท, 2.) นายเอกวิชญ์ จำนวน 5,526,408.50 บาท, 3.) นางวรณัน จำนวน 2,249,968.50 บาท, 4.) นายภาณุรักษ์ จำนวน 6,783,580.50 บาท, 5.) นางสาวกรรณิดา จำนวน 6,605,542.50 บาท, 6.) นายกรวิช จำนวน 2,000,000 บาท, 7.) นางสาวกัญจนารัศม์ จำนวน 4,133,342 บาท 8.) นายสุวิทย์ จำนวน 67,104,063.50 บาท

9.) นางอรพิน จำนวน 14,111,276 บาท, 10.) นายพิสิษฏ์ จำนวน 5,677,703 บาท 11.) นายสงกรานต์ จำนวน 500,000 บาท, 12.) นายภควันต์ จำนวน 16,760,935 บาท และ 13.) นางมะลิวัลย์ จำนวน 19,123,591.50 บาท

นอกจากนี้ มาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนดจะมีผลเมื่อผู้กระทำความผิดลงนามในบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด หากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอม ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเพื่อกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งในอัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติ โดยไม่ต่ำกว่าอัตราที่ ค.ม.พ. กำหนด ทั้งนี้ เงินค่าปรับทางแพ่งที่ได้รับจากการกระทำความผิดเป็นรายได้แผ่นดินที่นำส่งกระทรวงการคลัง

ทั้งนี้ จากการกล่าวโทษของ.ล.ต. หนึ่งในนั้น คือ นายกองเอก สุวิทย์ พิพัฒนวิไลกุล หรือ เสี่ยต้อยติ่ง ผู้ก่อตั้ง นิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี นิคมอุตสาหกรรม ลำดับที่ 56 ของประเทศไทย โดย นายกองเอก สุวิทย์ นับเป็นนักลงทุนรายใหญ่ในพื้นที่จังหวัดอุดรธานี และเป็นเจ้าของโรงโม่หินขนาดใหญ่ที่สุดในภาคอีสาน กำลังผลิต 5,000-7,000 ตัน/วัน อีกทั้งเคยเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลอุดรธานี FC

ขณะที่ นิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี ดังกล่าว ตั้งอยู่ที่ ต.โนนสูง อ.เมืองอุดรธานี จ.อุดรธานี มีพื้นที่ประมาณ 2,170 ไร่ ดำเนินการโดย บริษัท เมืองอุตสาหกรรมอุดรธานี จำกัด ก่อตั้งขึ้นในปี 2557 มูลค่าการลงทุนโครงการประมาณ 1 แสนล้านบาท และคาดการณ์ว่าสร้างเม็ดเงินสะพัดได้ประมาณ 2.2 หมื่นล้านบาท จ้างงานได้ไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นคนต่อปี และสร้างรายได้ให้กับภาครัฐประมาณ 15,0000 – 20,000 ล้านบาทต่อปี

ทั้งนี้ในปัจจุบันมีลูกค้า 8 รายในนิคม ซึ่งความได้เปรียบของนิคมอุตสาหกรรมอุดรธานี ที่จะดึงดูดนักลงทุนชาวต่างชาติเข้ามาในพื้นที่ เพราะมีเส้นทางรถไฟทางคู่ และรถไฟความเร็วสูง กรุงเทพ-หนองคาย ร่วมด้วย

นอกจากนี้ นายกองเอก สุวิทย์  ยังมีธุรกิจอีก 5 บริษัท ซึ่งตนเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการบริษัทที่มีทุนจดทะเบียนรวมกันกว่า 2,000 ล้านบาท ได้แก่ บริษัท เมืองอุตสาหกรรมอุดรธานี จำกัด ทุนจดทะเบียน 2,000 ล้านบาท ประกอบกิจการนิคมอุตสาหกรรม, บริษัท โชคอนันต์ก่อสร้างอุดรธานี จำกัด ทุนจดทะเบียน 15 ล้านบาท ประกอบธุรกิจการทำเหมืองหินที่ใช้ในการก่อสร้าง, บริษัท ต้อยติ่งทัวร์ จำกัด ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท ประกอบธุรกิจการขนส่งผู้โดยสาร, บริษัท ทรัพย์เพิ่มไพศาล จำกัด ทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ประกอบกิจการให้กู้ยืมเงินโดยมีบุคคลค้ำประกัน และ บริษัท อรพินก่อสร้าง จำกัด ทุนจดทะเบียน 10 ล้านบาท ประกอบธุรกิจ การทำเหมืองหินที่ใช้ในการก่อสร้าง

Back to top button