“ส.ค้าปลีกไทย” ชี้ยอดขายปลีกปี 68 โต 5% แตะ 4.4 ล้านลบ. แนะเก็บ 2 หุ้นตัวท็อป

สมาคมค้าปลีกไทย คาดยอดขายปลีกปี 2568 เติบโต 3-5% โดยสินค้าแฟชั่นและการท่องเที่ยวจะเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก ขณะที่กลุ่มอาหารและร้านอาหารยังมีแนวโน้มดีจากนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น โบรกแนะซื้อ CPALL-CRC


บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ วันที่ 26 ม.ค.68 ว่า ฝ่ายวิเคราะห์ได้เชิญ ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ กรรมการบริหารสมาคมค้าปลีกไทย ร่วมประชุมออนไลน์สำหรับลูกค้าสถาบันในประเทศ เพื่อขอข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับแนวโน้มการขายปลีกและขายส่งสำหรับปี 2568

สำหรับแนวโน้มขายปลีกปี 2568 คาดยอดขายปลีกจะโต 3-5% ไปแตะ 4.4 ล้านล้านบาท หนุนโดยกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือยที่เติบโต 5-7% รวมห้างสรรพสินค้าไลฟ์สไตล์ แฟชั่น จาก 4-6% ในปี 2567 กลุ่มอาหารและร้านอาหารเติบโต 5-7% จาก 4-6% ในปี 2567 ซึ่งน่าจะได้ประโยชน์จากการเพิ่มขึ้นของกิจกรรมนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ และกลุ่มสินค้าจำเป็นเติบโต 2-4% โดยรวมร้านสะดวกซื้อ หรือ CVS หรือ ซูเปอร์มาร์เก็ต และไฮเปอร์มาร์เก็ต ดีขึ้นจาก 0-3% ในปี 2567

ขณะที่กลุ่มตกแต่งบ้านมีแนวโน้มเติบโตชะลอลงที่ 2-3% สอดคล้องกับปี 2567 ปัจจัยขับเคลื่อนสำคัญสำหรับการใช้จ่ายขายปลีกในปี 2568 ได้แก่ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ยังคงดำเนินต่อไป การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐที่มีประสิทธิภาพ และการเติบโตของการท่องเที่ยว

ทั้งนี้กลยุทธ์สำคัญสำหรับผู้ขายปลีก ดร.ฉัตรชัย ยังเน้นถึงความกังวลหลายประการสำหรับผู้ค้าปลีกในปี 2568 ได้แก่ การใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวที่ลดลง หนี้ครัวเรือน และ SME ที่สูง รวมถึงต้นทุนการดำเนินงานที่สูงขึ้น และความไม่มั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์และการเมือง อีกทั้งเพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ ผู้ขายปลีกควรให้ความสำคัญกับการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) เพื่อปรับใช้แผนการขยายธุรกิจอย่างระมัดระวัง รักษาการจัดการเงินสดและสต๊อกสินค้าอย่างใกล้ชิด แม้จะมีความท้าทายเหล่านี้ ดร.ฉัตรชัยยังหวังว่าอำนาจซื้อของผู้บริโภค แม้ว่าพฤติกรรมการใช้จ่ายจะระมัดระวังมากขึ้น นอกจากนี้ ยังคาดว่าสินค้านำเข้าจากจีนจะไม่ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อผู้ขายปลีกสมัยใหม่ในประเทศ เนื่องจากยังมีความกังวลด้านคุณภาพอย่างต่อเนื่อง

ประกอบกับมาตรการ Easy E-receipt คาดว่ามาตรการ “Easy E-Receipt” ในช่วงวันที่ 16 ม.ค.-28 ก.พ.2568 จะช่วยกระตุ้นการบริโภค เงื่อนไขหลักของมาตรการนี้ถูกปรับเงื่อนไขการใช้จ่ายเงิน โดยจำนวน 20,000 บาทจากทั้งหมด 50,000 บาท ต้องใช้จ่ายกับสินค้า OTOP นอกจากนี้มีการคาดการณ์ว่าผู้เข้าร่วมโครงการนี้เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว แม้มีผู้เสียภาษีแค่ 1.2 ล้านคน ที่ขอลดหย่อนภาษีภายใต้โปรแกรม E-receipt เมื่อปีที่แล้ว แต่คาดจำนวนผู้เสียภาษีจะเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ มีจำนวนผู้เสียภาษีมากถึง 2 ล้านคน ที่เข้าร่วมโปรแกรมเดียวกันในปี 2563 ผู้ค้าปลีกมีความพร้อมมากขึ้นในการรองรับระบบ E-receipt เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีเพียงแค่ผู้ค้าปลีกขนาดใหญ่ที่มีความพร้อม ทำให้คาดโครงการนี้จะส่งผลบวกโดยรวมต่อผลการดำเนินงานของกลุ่มค้าปลีกในปี 2568

อย่างไรก็ตาม ยังคงมุมมองเชิงบวกต่อกลุ่มค้าปลีก โดยเชื่อว่าการประเมินมูลค่าปัจจุบันของกลุ่มพาณิชย์โดยรวมนั้นไม่สูงมาก ในขณะที่กำไรรวมคาดว่าจะเติบโตประมาณ 11% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BJC น่าจะเติบโตสูงสุดที่ 30% ตามฐานที่ต่ำผิดปกติในปี 2567

สำหรับหุ้นเด่น “กลุ่มค้าปลีก” ได้แก่ บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ CPALL ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 78.00 บาท และ บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายอยู่ที่ 39.00 บาท

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” CPALL ที่ราคาเป้าหมาย 86.00 บาท โดยประมาณการกำไร ปี 2568 อยู่ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท โตเพิ่มขึ้น 11% จาก ปี 2567 อย่างไรก็ตามคาดผลกระทบเชิงบวกจากมาตรการ Easy E-receipt 2.0 จำกัดจากวงเงินที่สามารถนำมาลดหย่อนได้ลดลงเป็น 30,00 บาท จาก 50,000 บาท และสินค้า OTOP หรือวิสาหกิจชุมชมอีก 20,000 บาท

อีกทั้งราคาหุ้นกลับมา perform ใกล้เคียงกับตลาด จากที่ underperform SET ในช่วง 3 และ 6 เดือนที่ผ่านมา โดยได้ผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ หนุนผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2568 ดาดเห็นการเติบโด้ดีต่อเนื่องในทุกธุรกิจ

ขณะเดียวกัน บล. ดาโอ ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” CRC ที่ราคาเป้าหมาย 42.00 บาท โดยมองแนวโน้มในปี 2568 บริษัทฯ ตั้งเป้าให้ยอดขายรวมโตเป็นสองเท่าของอัตราการเติบโดของ GDP พร้อมอัตราการเติบโดของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่ 1-3% บริษัทฯ จะเปลี่ยนไปให้ความสำคัญกับการปรับปรุงห้างมากกว่าการขยายสาขาเนื่องจากให้ผลตอบแทนจากการลงทุนสูงกว่า ในขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นน่าจะยังทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อยจากสัดส่วนยอดขายของ Go wholesale ที่สูงขึ้น

Back to top button