ครม. ผ่านร่าง พ.ร.ก. ปราบแก๊งคอลเซนเตอร์ “ธนาคาร-ค่ายมือถือ-แพลตฟอร์ม” ร่วมรับผิด
รองนายกฯและรมว.ดีอี ชี้แจง ครม. ผ่านร่าง พ.ร.ก. ปราบแก๊งคอลเซนเตอร์ “ธนาคาร-ค่ายมือถือ-แพลตฟอร์ม” ร่วมรับผิด คาดเดือนหน้าบังคับใช้ ด้านนายกฯ เตรียมหารือปธน. “สี จิ้นผิง” ร่วมปราบต้นเดือนก.พ. นี้
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (28 ม.ค.68) นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ ร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตามที่กระทรวงดีอี เสนอ
ทั้งนี้ พ.ร.ก. ฉบับเดิม พ.ศ.2566 ยังขาดอำนาจหน้าที่และการกำหนดโทษ หลาย ๆ ประเด็น โดยเฉพาะอำนาจการดำเนินการกับบัญชีม้าบนแพลตฟอร์ม P2P, อำนาจการคืนเงินให้กับประชาชน, และการรับผิดร่วมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้
- กำหนดความรับผิดชอบร่วมของสถาบันการเงิน เครือข่ายมือถือ และสื่อสังคมออนไลน์ กำหนดให้ผู้ให้บริการเหล่านี้ต้องมีส่วนรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น หากไม่ดำเนินการตามมาตรการที่กำหนดไว้
- กำหนดหน้าที่ของผู้ให้บริการโทรคมนาคม ต้องมีหน้าที่ “ระงับการใช้งานซิมการ์ด” ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดทันที
- เร่งรัดกระบวนการคืนเงินให้กับผู้เสียหาย โดยเพิ่มหน้าที่ธนาคารต้องส่งข้อมูลเกี่ยวกับบัญชีม้า ที่มีความเชื่อมโยงกับการกระทำความผิด ไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อให้ตรวจสอบและคืนเงินให้กับผู้เสียหายได้โดยเร็ว
“เดิมการคืนเงินให้กับผู้เสียหายเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1-2 ปี เนื่องจากต้องผ่านกระบวนการทางศาล แต่การแก้ไขพ.ร.ก.นี้จะทำให้มีการคืนเงินได้รวดเร็ว ภายใน 6 เดือน หรือไม่เกิน 1 ปี หรืออาจทำได้ทันที ในกรณีที่ผู้เสียหายสามารถยืนยันข้อมูลบัญชีตรง” นายประเสริฐ กล่าว
- เพิ่มอำนาจกับแพลตฟอร์มโอนทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด โดยกำหนดให้แพลตฟอร์มมีหน้าที่ร่วมรับผิดชอบในการป้องกันและตรวจสอบการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นในระบบของตน หากพบว่าแพลตฟอร์มบริษัทใดไม่ดูแลระบบให้เหมาะสมและปล่อยให้เกิดความผิดขึ้น จะต้องรับผิดชอบตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ยืนยันว่าแม้จะเป็นแพลตฟอร์มที่จดทะเบียนในต่างประเทศ หากมีความผิดและสามารถเอาผิดได้ตามกฎหมายไทย ก็จะดำเนินการอย่างเต็มที่
- เพิ่มบทลงโทษการเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล กรณีไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล จะต้องมีบทลงโทษที่เหมาะสม ใน พ.ร.ก. ได้กำหนดโทษเพิ่มเติมใน 2 ลักษณะ คือ 1. ในลักษณะเปิดเผยแบบส่งต่อ 2. ไปขายข้อมูล โทษจะหนักเบาต่างกัน สูงสุดปรับ 5,000,000 บาท ต่อ 1 กระทง จำคุก 5 ปี
นายประเสริฐ กล่าวด้วยว่า พ.ร.ก.ฯ ฉบับนี้ จะเสริมสร้างความเข้มแข็งในการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ลดความเสียหายให้กับประชาชน ขั้นต่อไปหลังจากครม. มีมติผ่านร่างพ.ร.ก.ฯ แล้ว คณะกรรมการกฤษฎีกาจะดูรายละเอียดอีกครั้ง จากนั้นจะประกาศในราชกิจจานุเบกษาและจะมีผลบังคับใช้ทันที
ขณะที่ นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวเสริมว่า รัฐบาลพบว่าประชาชนยังได้รับความเสียหายเฉลี่ยต่อวัน 60 – 70 ล้านบาท ซึ่งก่อนการดำเนินการมาตรการต่างๆ อยู่ที่ 100 – 120 ล้านบาทต่อวัน จึงจำเป็นต้องมีมาตรการเร่งด่วนในการดำเนินการแก้ปัญหานี้ ทั้งนี้นายปกรณ์ นิลประพันธ์ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ระบุจะใช้เวลาไม่เกิน 30 วัน คาดว่าประกาศบังคับใช้ได้ในเดือนหน้านี้
- นายกฯ เตรียมคุยจีนร่วมปราบแก๊งคอลเซนเตอร์
นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังการประชุมครม. วันนี้ ถึงการเดินทางเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีน ระหว่างวันที่ 5 – 8 ก.พ.68 ว่า จะถือโอกาสพูดคุยกับ นายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ถึงกรณีปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงฝุ่นควัน และเรื่องอื่น ๆ
ซึ่งตนคิดว่าทางจีนก็อยากได้ความร่วมมือจากไทย เพราะเรามีความสัมพันธ์ระดับพี่น้องกันมาอยู่แล้ว รวมถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ต่อไปเพราะปีนี้เป็นปีที่ครบ 50 ปี “ไทย-จีน” และถ้ามีโอกาสก็จะหารือถึงการเปิดการค้าไทยกับจีนเพิ่มด้วย
“ความจริงแล้วการพูดคุยกับประธานาธิบดีสีจะเป็นการพูดคุยกันในภาพรวม ส่วนเนื้อหาและรายละเอียดต้องให้กระทรวงดีอีเป็นคนไปพูดคุยต่อไป ซึ่งในส่วนของตนก็จะแสดงความห่วงใยในเรื่องคอลเซ็นเตอร์และพูดคุยในหัวข้อหลัก”